1. ในระบบราชการพลเรือน เวลาข้าราชการมีปัญหาฟ้องหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาแล้วจะยังคงให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไปหรือไม่ เพียงใด
2. ประเด็นนี้ มี กฎ ก.พ.ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนที่ออกตามพระราช บัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ใช้บังคับอยู่เพราะว่ากฎ ก.พ.ที่จะต้องออกตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ.2551 ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ในกฎ ก.พ.ฉบับนี้ระบุความโดยสรุปในข้อ 3 ว่าหากมีกรณีถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษแล้ว ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง จะสั่งให้ผู้นั้นพักราชการได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้
3. มีประเด็นตามมาว่า กรณีถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญานั้น หมายถึงการถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาตามกฎหมายของประเทศไทยหรือหมายรวมถึงกฎหมายของต่างประเทศด้วย
4. ประเด็นนี้ ก.พ.ได้ประชุมพิจารณาแล้วมีมติโดยสรุปว่า กรณีที่ข้าราชการพลเรือนถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาตาม กฎหมายของต่างประเทศนั้น ถ้าการกระทำของข้ารารชการดังกล่าวนั้น กฎหมายของประเทศถือเป็นความผิดอาญาด้วย ผู้บังคับบัญชาก็มีอำนาจที่จะนำการถูกฟ้องคดีอาญานั้นมาเป็นเหตุในการสั่ง พักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ แต่ถ้าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายต่างประเทศ แต่กฎหมายของประเทศไทยไม่ถือเป็นความผิด ผู้บังคับบัญชาก็ไม่อาจนำการถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา ตามกฎหมายของต่างประเทศนั้นมาเป็นเหตุในการสั่งพักราชการไว้ก่อนแต่อย่างใด (การประชุมก.พ.ครั้งที่ 2/2537 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2537)
5. โดยสรุปก็จะได้ความว่า จะต้องดูด้วยว่าการถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาดังกล่าว นั้น กฎหมายของประเทศไทยถือเป็นความผิดอาญาด้วยหรือไม่มิใช่เพียงแต่ดูว่าการ กระทำนั้นเป็นความผิดอาญาของประเทศนั้นๆ ก็เพียงพอแล้ว
เครดิต :ราชการแนวหน้า,หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2556 06:00:00 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น