มาตรา ๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การที่สมาชิกสภาเทศบาลมีพฤติการ ณ์ในลักษณะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสั ญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญาอันเป็ นผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศ บาลต้องสิ้นสุดลงนั้น มีให้เห็นเป็นคดีพิพาทหลายคดี โดยเฉพาะการเป็นผู้มีส่วนได้เสี ยเพราะเหตุมีความสัมพันธ์ในทางค รอบครัวกับคู่สัญญาที่ทำกับเทศบ าล เช่น คู่สัญญาเป็นบุตร บิดาหรือมารดา สามีหรือภรรยา เป็นต้น ซึ่งหากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือ พฤติการณ์ ที่แสดงให้เห็นว่า สมาชิกสภาเทศบาลได้ใช้โอกาสที่ต นดำรงตาแหน่งสร้างประโยชน์แก่ตน โดยเบียดเบียนหรือคุกคามประโยชน ์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของรัฐแล้ว ย่อมถือว่าไม่เป็นผู้มีส่วนได้เ สียโดยทางตรงหรือทางอ้อมแต่อย่า งใด ทั้งนี้ เนื่องจากพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ เทศบาล (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ มีเจตนารมณ์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ของรัฐปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่ ่อสัตย์ สุจริต โดยห้ามมิให้ใช้หรืออาศัยฐานะที่ ่ตนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐสร้างห รือแสวงหาประโยชน์ส่วนตน โดยการเบียดเบียนหรือคุกคามประโ ยชน์ของส่วนรวมหรือประโยชน์ของร ัฐ และที่สำคัญก็เพื่อเป็นหลักประก ันความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนทั่ วไป
อย่างไรก็ดี ในการวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาเทศบา ลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ม ีส่วนได้เสียหรือไม่นั้น พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ เทศบาล (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ มิได้กาหนดความหมายหรือพฤติการณ ์ที่มีผลทำให้สมาชิกสภาเทศบาลเป ็นผู้มีส่วนได้เสียโดยทางตรงหรื อโดยทางอ้อม ไว้อย่างชัดเจน ดังเช่นบทบัญญัติมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติรา ชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งห้าม มิให้เจ้าหน้าที่ที่มีลักษณะเป็ นผู้มีส่วนได้เสียทาการพิจารณาท างปกครอง เช่น การเป็นคู่กรณี คู่หมั้น คู่สมรส หรือเป็นญาติของคู่กรณี เป็นต้น ทาให้เกิดเป็นคดีพิพาทในศาลปกคร องตามที่กล่าวมาแล้ว
ดังนั้น การพิจารณาว่าสมาชิกสภาเทศบาลคน ใดจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเรื่ องใดหรือไม่นั้น จะต้องใช้หลักเกณฑ์ใดบ้าง จะพิจารณาเพียงสถานภาพหรือฐานะข องสมาชิกสภาเทศบาลเพียงอย่างเดี ยวได้หรือไม่ หรือจะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แ ละข้อเท็จจริงอื่นที่ปรากฏประกอ บด้วย
คดีปกครองที่จะนามาเล่าสู่กันฟั งในฉบับนี้ เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นส มาชิกสภาเทศบาลอยู่ในฐานะพ่อสาม ีของคู่สัญญา (หรือบุตรสะใภ้) กับเทศบาล ถูกร้องเรียนว่าเป็นผู้มีส่วนได ้เสียในสัญญาที่เทศบาลได้ว่าจ้า งให้ร้าน ก. ซึ่งมีนาง ข. สะใภ้ของผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของร ้านและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเ ดียวกับผู้ฟ้องคดี เป็นคู่สัญญา ในการจ้างทาปฏิทินแสดงผลงานของเ ทศบาล ซึ่งในชั้นคณะกรรมการสอบสวนข้อเ ท็จจริง เห็นว่า นาง ข. และครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านเช่า มิใช่บ้านของผู้ฟ้องคดี และแม้นาง ข. จะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดียว กับผู้ฟ้องคดี และที่ตั้ง โรงพิมพ์จะเป็นบ้านของผู้ฟ้องคด ีก็ตาม แต่การให้ตั้งโรงพิมพ์ในบ้านของ ผู้ฟ้องคดีก็เป็นการช่วยเหลือตา มที่ บิดามารดาพึงปฏิบัติต่อบุตร จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีส่ว นได้เสียในสัญญาดังกล่าว
แต่ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ว่าราชการจังหวัด) วินิจฉัยว่า การที่เทศบาลเป็นคู่สัญญากับนาง ข. ซึ่งเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายข องนาย ค. บุตรของผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้มี ส่วนได้เสียในสัญญานี้โดยตรง ส่วนผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นบิดาของน าย ค. กรณีย่อมถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ เสียในสัญญาจ้างทาปฏิทินผลงานโด ยทางอ้อม อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ เทศบาล (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ ประกอบกับมาตรา ๑๕๖๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สมาชิกภาพของผู้ฟ้องคดีจึงสิ้นส ุดลง ตามมาตรา ๑๙ (๖) แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คาสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ให้สม าชิกภาพของผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุ ดลงเป็นคาสั่ง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลมีคาพิพากษาเพิกถอนค าสั่งดังกล่าว
การที่บุตรสะใภ้เป็นคู่สัญญากับ เทศบาลที่พ่อสามีเป็นสมาชิกสภาเ ทศบาล ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยท างตรงหรือทางอ้อมอันเป็นผลให้สม าชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นส ุดลงหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่เทศบาลได้ทาสัญญาจ้างร้าน ก. ให้จัดทาปฏิทินแสดงผลงานของเทศบ าล แม้จะมีนาง ข. ซึ่งเป็นคู่สมรสของบุตรชายของผู ้ฟ้องคดี เป็นผู้ลงชื่อในสัญญาจ้างก็ตาม แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้มีอานาจหน้า ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทาสัญ ญาในฐานะผู้ว่าจ้างหรือผู้รับจ้ างด้วย ประกอบกับผลการสอบสวนของคณะกรรม การสอบสวนข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏ ว่า ผู้ฟ้องคดีได้เข้าไปเกี่ยวข้องใ นการบริหารจัดการร้านหรือ มีความสัมพันธ์ในเชิงการลงทุนร่ วมกับบุตรหรือสะใภ้ในกิจการของร ้านแต่อย่างใด และแม้ที่ตั้งโรงพิมพ์ของร้าน ก. จะตั้งอยู่ที่บ้านซึ่งเป็นกรรมส ิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี โดยเช่าจากผู้ฟ้องคดีหรือผู้ฟ้อ งคดีให้ประโยชน์โดยไม่คิดค่าเช่ า เพื่อช่วยเหลือบุตรก็ตาม แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ไ ด้เสียตามสัญญาจ้างให้จัดทาปฏิท ินผลงาน เพราะเป็น คนละเหตุกัน อีกทั้งการที่สะใภ้ของผู้ฟ้องคด ีมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของผู้ ฟ้องคดี ก็ไม่ใช่เหตุผลสาคัญที่แสดงว่าจ ะต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน และในทางข้อเท็จจริง นาง ข. สะใภ้และบุตรชายของผู้ฟ้องคดีก็ ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านของผู ้ฟ้องคดี แต่อาศัยอยู่ที่บ้านเช่ามาโดยตล อด มีเพียงการไปมาหาสู่กับผู้ฟ้องค ดีในฐานะญาติบ้างในบางครั้ง
นอกจากนั้น ในการสอบราคาเพื่อทาสัญญาจ้างดั งกล่าวก็กระทาโดยเจ้าหน้าที่ที่ มีอานาจในการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ดาเน ินการโดยคณะกรรมการที่ใช้ดุลพิน ิจพิจารณาตามความเหมาะสม โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นผู้พิจารณ าตัดสินใจอีกชั้นหนึ่ง หาได้เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีไม ่ กรณีจึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือ พฤติการณ์ส่วนใดที่แสดงให้เห็นว ่า ผู้ฟ้องคดีใช้โอกาสในฐานะที่ตนด ำรงตาแหน่งสร้างประโยชน์แก่ตน โดยเบียดเบียนหรือคุกคามประโยชน ์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของรัฐ หรือจูงใจ ข่มขู่ หรือโน้มน้าวให้เจ้าหน้าที่ที่เ กี่ยวข้องในการจัดจ้าง เพื่อให้ว่าจ้างนาง ข. สะใภ้ของผู้ฟ้องคดี อันมีลักษณะเป็นการกระทำที่จะทำ ให้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ตามนัยมาตรา ๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ เทศบาล (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีวินิจฉัยให้ สมาชิกภาพของผู้ฟ้องคดีสิ้นสุดล ง จึงเป็นการใช้ดุลพินิจและออกคำส ั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมา ย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๖๔/๒๕๕๕)
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีน ี้ นอกจากจะยืนยันแนวทางการวินิจฉั ยที่ผ่านมาแล้วว่า ในการพิจารณาความเป็นผู้มีส่วนไ ด้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งเป ็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในสัญญาที่เ ทศบาลเป็นคู่สัญญา มิใช่จะพิจารณาแต่เพียงสถานภาพห รือฐานะในเรื่องความสัมพันธ์ระห ว่างสมาชิกสภาเทศบาลกับคู่สัญญา ที่ทากับเทศบาลเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาพฤติการณ์และข้อเ ท็จจริงอื่นๆ ประกอบด้วย โดยเฉพาะพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็ นว่า สมาชิกสภาเทศบาลได้ใช้โอกาสหรือ ตาแหน่งหน้าที่ของตนเอื้อประโยช น์แก่ตนหรือครอบครัว โดยเบียดเบียนหรือคุกคามประโยชน ์ส่วนรวม หรือข่มขู่ จูงใจให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้ องเข้าทำสัญญานั้น ซึ่งหากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังก ล่าวและวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของ สมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลง นอกจากจะส่งผลต่อการดำเนินกิจกา รของหน่วยงานและบุคคลอื่น ที่เกี่ยวข้องแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ตั้งใจปฏิบ ัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม อาจต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่หรื อสิ้นสุดสมาชิกภาพไปโดยไม่ได้รั บความเป็นธรรมอีกด้วย
เครดิต : นางสาวฐิติพร ป่านไหม พนักงานคดีปกครองชeนาญการ สeนักวิจัยและวิชาการ สeนักงานศาลปกครอง คอลัมน์มุมกฎหมาย วารสารกานันผู้ใหญ่บ้าน ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕
http://www.admincourt.go.th/ 00_web/09_academic/document/ 05_case/84-97-55.pdf
อย่างไรก็ดี ในการวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาเทศบา
ดังนั้น การพิจารณาว่าสมาชิกสภาเทศบาลคน
คดีปกครองที่จะนามาเล่าสู่กันฟั
แต่ผู้ถูกฟ้องคดี (ผู้ว่าราชการจังหวัด) วินิจฉัยว่า การที่เทศบาลเป็นคู่สัญญากับนาง
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คาสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ให้สม
การที่บุตรสะใภ้เป็นคู่สัญญากับ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่เทศบาลได้ทาสัญญาจ้างร้าน
นอกจากนั้น ในการสอบราคาเพื่อทาสัญญาจ้างดั
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีน
เครดิต : นางสาวฐิติพร ป่านไหม พนักงานคดีปกครองชeนาญการ สeนักวิจัยและวิชาการ สeนักงานศาลปกครอง คอลัมน์มุมกฎหมาย วารสารกานันผู้ใหญ่บ้าน ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕
http://www.admincourt.go.th/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น