การเป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริ
ดังเช่นคดีปกครองที่จะนำมาเล่าส ู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นกรณีที่รองนายกองค์การบริหา รส่วนตำบล มีพฤติกรรมในทางทุจริตจากการเป็ นคณะกรรมการตรวจรับงานจ้างก่อสร ้างรั้วรอบที่ทำการองค์การบริหา รส่วนตำบล โดยมีผู้ร้องเรียนว่า การก่อสร้างดังกล่าวไม่เป็นไปตา มแบบที่กำหนดในสัญญาจ้าง โดยระยะความยาวของรั้วขาดหายไป ๘๕.๖๐ เมตร แต่มีการเบิกจ่ายเงินให้ผู้รับจ ้างครบตามสัญญาจ้างแล้ว นายอำเภอ (ผู้ถูกฟ้องคดี) จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการส อบสวนเพื่อพิจารณาว่าในการตรวจร ับงานจ้างดังกล่าว รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล มีพฤติกรรมในทางทุจริตอันมีผลทำให้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งหรือไม่
ต่อมา นายอำเภอได้วินิจฉัยและมีคำสั่ง ให้รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบ ลพ้นจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (ผู้ฟ้องคดี) จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให ้เพิกถอนคำสั่ง โดยยอมรับว่าได้ตรวจสอบการจ้างจ ากรายงานของผู้ควบคุมงาน ไม่ได้ทำการตรวจวัดหรือตรวจสอบง าน ตามสัญญา และจากการสอบสวนของคณะกรรมการสอ บสวนก็ไม่พบว่ามีพยานหลักฐานใดร ะบุว่ามีผู้ใดได้รับผลประโยชน์ห รือผลตอบแทนอื่นในการดำเนินการ ประกอบกับองค์การบริหารส่วนตำบล ได้รับชดใช้ค่าเสียหายแล้ว นอกจากนี้ คณะทำงานวิเคราะห์เอกสารไม่ได้ใ ห้โอกาสทราบข้อเท็จจริงอย่างเพี ยงพอและโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐ าน ดังนั้น กระบวนการสอบสวนและคำสั่งให้พ้น จากตำแหน่งจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คดีนี้จึงมีประเด็นที่น่าสนใจ ๒ เรื่อง คือ
ประเด็นแรก การที่คณะกรรมการสอบสวนมีความเห ็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะปล่อยปละละเลย ไม่ปฏิบัติหรืองดเว้นไม่กระทำกา รตามอำนาจหน้าที่ในการตรวจรับงา นจ้างก่อสร้างทำให้ราชการเสียหา ยก็ตาม แต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานใดระบุ ว่า มีผู้ใดได้รับผลประโยชน์หรือผลต อบแทนอื่นในการดำเนินการ ประกอบกับองค์การบริหารส่วนตำบล ได้รับชดใช้ค่าเสียหายแล้ว จึงไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพ อว่า ผู้ฟ้องคดีมีเจตนาหรือจงใจหรือม ีพฤติกรรมในทางทุจริต แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเห็นว่า การชดใช้เงินคืนไม่ถือว่าความผิ ดสิ้นสุด เพราะความบกพร่องเสียหายและพฤติ กรรมทุจริตนั้นยังคงอยู่ ประกอบกับผู้ฟ้องคดียอมรับในชั้ นสอบสวนว่า เหตุที่เกิดเป็นเพราะไม่ได้ไปตรวจรับงาน แต่เชื่อผู้ควบคุมงาน
การสอบสวนจึงยังมีข้อบกพร่อง ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและข้ อกฎหมาย จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อวิเคราะห์เอกสารที่คณะกรรม การสอบสวนรวบรวมไว้ ซึ่งคณะทำงานฯ เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหาย ถือได้ว่ากระทำการทุจริต
ดังนั้น กระบวนการในการสอบสวนโดยเฉพาะกา รทำหน้าที่ของคณะทำงานวิเคราะห์ เอกสาร ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์เอกสารหลั กฐานต่างๆ ที่คณะกรรมการสอบสวนได้รวบรวมไว ้ จะต้องให้โอกาสผู้ฟ้องคดี ได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานหร ือไม่ ? ซึ่งตามมาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติรา ชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ วางหลักการสำคัญว่า ในกรณีที่คำสั่งทางปกครอง อาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอก าสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่าง เพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานขอ งตน บทบัญญัติดังกล่าวมีนัยสำคัญว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะออกคำสั่งท างปกครองใดๆ ที่มีผลหรืออาจมีผลกระทบสิทธิ เสรีภาพ หรือประโยชน์อันชอบธรรมของคู่กร ณีมาใช้บังคับ เจ้าหน้าที่จะต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้รับทร าบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมี โอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลัก ฐานเพื่อป้องกันสิทธิของตน โดยข้อเท็จจริงที่คู่กรณีมีสิทธ ิรับทราบจะต้องเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่เจ้าหน้าที่จะใช้เป็นเหต ุผลในการตัดสินใจออกคำสั่งทางปก ครองที่กระทบสิทธิของคู่กรณีนั้ น และจะต้องเพียงพอที่คู่กรณีจะสา มารถโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานข องตนได้โดยเหมาะสมและครบถ้วนในส าระสำคัญ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยประเด็น นี้ว่า เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้มีหนัง สือแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิต่างๆ ในการสอบสวนให้แก่ผู้ฟ้องคดี และในวันที่ไปพบคณะกรรมการสอบสว นก็ได้มีการแจ้งข้อเท็จจริงและเ ปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่แล้ว จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้ทราบข ้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอก าสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานตาม มาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติรา ชการ ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ สาหรับการตรวจสอบของคณะทางานวิเ คราะห์เอกสารนั้น เมื่อคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานดัง กล่าวได้กำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ เพียงวิเคราะห์ข้อมูลการสอบสวนแ ละพยานหลักฐานต่างๆ ในสำนวนคดีที่คณะกรรมการสอบสวนไ ด้สอบสวนและรวบรวมไว้เท่านั้น การทำหน้าที่ของคณะทำงานจึงเป็น เพียงการตรวจสอบและทบทวนการทำหน ้าที่ของคณะกรรมการสอบสวน โดยไม่ทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียเปรีย บหรือได้รับความไม่เป็นธรรมในกา รสอบสวนแต่อย่างใด ดังนั้น การดำเนินการสอบสวนผู้ฟ้องคดีจึ งชอบด้วยกฎหมาย
ประเด็นที่สอง การที่รองนายกองค์การบริหารส่วน ตำบลในฐานะเป็นกรรมการตรวจรับงา นจ้างไม่ได้ทำการตรวจวัดหรือตรว จสอบงานจ้างตามสภาพความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนใด ๆ อีกทั้ง องค์การบริหารส่วนตำบลได้รับการ ชดใช้ความเสียหายแล้ว ถือเป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริ ตหรือไม่ ?
ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกา รพัสดุขององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ ข้อ ๔๘ วรรคหนึ่ง กำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจก ารจ้างงานก่อสร้างโดยสรุปได้ว่า ให้ตรวจสอบรายงานการปฏิบัติงาน ของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้ อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอี ยดและข้อกำหนดในสัญญา ในกรณีมีข้อสงสัยหรือมีกรณีที่เ ห็นว่าตามหลักวิชาการช่างไม่น่า จะเป็นไปได้ ให้ออกตรวจงานจ้าง ณ สถานที่ที่กำหนด และกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอ บทั้งหมดหรืองวดใดก็ตามไม่เป็นไ ปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา ให้รายงานประธานกรรมการบริหารผ่ านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเพื่อ ทราบหรือสั่งการ แล้วแต่กรณี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยในประเด ็นนี้ว่า แม้ความบกพร่องส่วนหนึ่งของการก ่อสร้างอาจเป็นผลมาจากการคำนวณค วามยาวของรั้วผิดพลาดมาตั้งแต่ก ารออกแบบและประมาณการการก่อสร้า งของหัวหน้าส่วนโยธา และในขณะสำรวจสภาพพื้นที่จะพบว่ าเป็นป่าและเป็นเนินสูงต่ำส่งผล ให้การวัดระยะความยาวไม่แน่นอนก ็ตาม
แต่เมื่อผู้ฟ้องคดียอมรับในชั้น สอบสวนว่า ตรวจสอบงานจ้างจากรายงานของช่าง ผู้ควบคุมงานเท่านั้น โดยมิได้ทาการวัดหรือตรวจสอบงาน จ้างตามสภาพความเป็นจริง ประกอบกับผู้ฟ้องคดีเป็นผู้บริห ารขององค์การบริหารส่วนตำบลย่อม ต้องมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมา ยและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และต้องมีความระมัดระวัง
ในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากได้ตระหนักในบทบาทหน้าที ่่ในฐานะคณะกรรมการตรวจรับงานจ้า งและผู้บริหารซึ่งเป็นผู้แทนของ ประชาชนในพื้นที่ที่อาสาเข้ามาทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ส่วนรวม โดยการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุข ององค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๘ อย่างเคร่งครัดแล้ว ย่อมตรวจพบความบกพร่องในงานจ้าง ที่ตนมีหน้าที่ตรวจรับตามข้อเท็ จจริงที่ปรากฏได้ไม่ยากนัก และแม้ว่านายกองค์การบริหารส่วน ตำบลจะนำเงินส่วนตัวมาชดใช้คืนใ ห้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลแทนค วามเสียหายที่คำนวณได้แล้วก็ตาม ก็มิอาจลบล้างความผิดหรือเป็นผล ให้ผู้ฟ้องคดีไม่ต้องรับโทษจากค วามผิดที่ได้กระทำสำเร็จแล้วแต่ อย่างใด พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นก ารละเลยต่อหน้าที่และจงใจไม่ปฏิ บัติตามระเบียบ ทั้งยังเป็นการไม่รักษาประโยชน์ ขององค์การบริหารส่วนตำบลที่ตนม ีหน้าที่พึงกระทำ เป็นผลให้ผู้รับจ้างได้รับประโย ชน์ที่มิควรได้โดยไม่ชอบด้วยกฎห มาย กรณีจึงมีเหตุน่าเชื่อว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติกรรมในทางทุจริ ต
ดังนั้น คำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน ่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล จึงชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๓๔๕/๒๕๕๕)
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีน ี้ นอกจากจะยืนยันหลักกฎหมายสำคัญเ กี่ยวกับขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญในกา รออกคำสั่งทางปกครองว่า ข้อเท็จจริงที่เจ้าหน้าที่จะใช้ เป็นเหตุผลในการตัดสินใจออกคำสั่งทางปกครองที่กระทบสิทธิของคู่ กรณีนั้น เจ้าหน้าที่จะต้องให้คู่กรณีได้ มีโอกาสทราบข้อเท็จจริงนั้น อย่างเพียงพอและต้องให้มีโอกาสไ ด้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของ ตนตามที่พระราชบัญญัติวิธีปฏิบั ติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กำหนดไว้แล้ว ยังมีบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการ ที่ดีในเรื่องการทำหน้าที่ของคณ ะกรรมการตรวจการจ้างซึ่งไม่ว่าเ จ้าหน้าที่นั้นจะดำรงตำแหน่งใด หากได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดั งกล่าวก็จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าท ี่ตามระเบียบอย่างเคร่งครัด และตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตน ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของส่วนร วมหรือของราชการเป็นสำคัญ ไม่แสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรื อเปิดโอกาสให้บุคคลใดแสวงหาประโ ยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายได้
เครดิต : นางสาวฐิติพร ป่านไหม พนักงานคดีปกครองชำนาญการ สำนักวิจัยและวิชาการ สำนักงานศาลปกครอง (คอลัมน์ระเบียบกฎหมาย วารสารกำนันผู้ใหญ่บ้าน ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๕๖)กรกฎาคม ๒๕๕๕)
ต่อมา นายอำเภอได้วินิจฉัยและมีคำสั่ง
คดีนี้จึงมีประเด็นที่น่าสนใจ ๒ เรื่อง คือ
ประเด็นแรก การที่คณะกรรมการสอบสวนมีความเห
ดังนั้น กระบวนการในการสอบสวนโดยเฉพาะกา
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยประเด็น
ประเด็นที่สอง การที่รองนายกองค์การบริหารส่วน
ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกา
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยในประเด
แต่เมื่อผู้ฟ้องคดียอมรับในชั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากได้ตระหนักในบทบาทหน้าที
ดังนั้น คำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีน
เครดิต : นางสาวฐิติพร ป่านไหม พนักงานคดีปกครองชำนาญการ สำนักวิจัยและวิชาการ สำนักงานศาลปกครอง (คอลัมน์ระเบียบกฎหมาย วารสารกำนันผู้ใหญ่บ้าน ฉบับเดือนมกราคม ๒๕๕๖)กรกฎาคม ๒๕๕๕)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น