ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางล
คดีปกครองที่นำมาเล่าเป็นอุทาหร ณ์ฉบับนี้ เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำ สั่งทางปกครองทำการพิจารณาคำอุท ธรณ์ในเบื้องต้นโดยเห็นด้วยกับค ำอุทธรณ์ แต่ไม่ดำเนินการเปลี่ยนแปลงคำสั่งทางปกครองตามความเห็นของตน แต่ได้ส่งคำอุทธรณ์ไปยังผู้มีอำ นาจพิจารณาอุทธรณ์พิจารณา จึงมีปัญหาว่า การไม่ดำเนินการให้ครบถ้วนดังกล ่าวจะทำให้คำสั่งทางปกครองเสียไ ปหรือไม่ ทั้งยังมีประเด็นสำคัญที่ว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการปร ะมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม ่ด้วย
ข้อเท็จจริงในคดีนี้มีว่า ผู้ฟ้องคดี (พนักงานขับรถสังกัดเทศบาล) ได้รับคำสั่งให้ขับรถของราชการไ ปส่งหนังสือที่ต่างจังหวัด ระหว่างเดินทาง รถที่วิ่งอยู่ช่องทางซ้ายเปลี่ย นเข้าช่องทางขวาที่รถของผู้ฟ้อง คดีขับอยู่และตัดหน้าอย่างกระชั้นชิดโดยไม่ให้สัญญาณไฟ ผู้ฟ้องคดีจึงบังคับรถหลบทำให้ร ถพลิกคว่ำ หลังจากที่ได้มีการสอบสวนข้อเท็ จจริงและดำเนินการตามขั้นตอนต่า งๆ แล้ว ผู้ถูกฟ้องคดี(นายกเทศมนตรี)จึงได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชดใ ช้ค่าเสียหายจำนวน 127,005 บาท ผู้ฟ้องคดีจึงอุทธรณ์คำสั่งว่าอ ุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุ สุดวิสัยไม่ได้จงใจหรือประมาทเล ินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาคำอุทธรณ์ด ังกล่าวเห็นด้วยว่าผู้ฟ้องคดีไม ่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลิน เล่ออย่างร้ายแรงจึงไม่ต้องรับผ ิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงค ำสั่ง แต่ส่งคำอุทธรณ์ให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดซึ่งเป็นผู้มีอำนาจพิจารณ าอุทธรณ์ ซึ่งผลการพิจารณาเห็นว่าอุทธรณ์ ของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล ปกครอง ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งขอ งผู้ถูกฟ้องคดีศาลปกครองชั้นต้น มีความเห็นในประเด็นนี้ว่าเป็นก ารดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามรูป แบบขั้นตอนหรือวิธีการที่กฎหมาย กำหนด การออกคำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดี ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎ หมาย แต่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า มาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติรา ชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดให้มีการอุทธรณ์คำสั่งทางป กครองภายในฝ่ายปกครองก็เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งและผู้ม ีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณา แก้ไขหรือทบทวนคำสั่งทางปกครองใ ห้ถูกต้องทั้งเป็นการเปิดโอกาสใ ห้ผู้ได้รับคำสั่งทางปกครองได้ร ับความเป็นธรรม แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ดำเนิ นการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอ นหรือวิธีการดังกล่าว จะถือว่าเป็นสาระสำคัญที่จะทำให ้คำสั่งทางปกครองเสียไปหรือไม่น ั้นต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป ็นกรณีไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูก ฟ้องคดีเห็นด้วยกับอุทธรณ์ของผู ้ฟ้องคดีว่าผู้ฟ้องคดีไม่ต้องรั บผิดในความเสียหายอันเกิดจากเหต ุสุดวิสัย ประกอบกับการที่ผู้ถูกฟ้องคดีส่ งคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้ผู้ว ่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจพิจา รณาอุทธรณ์ได้ทบทวนคำสั่งทางปกครอง แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้พิจารณาคำอุทธร ณ์ของผู้ฟ้องคดีแล้วก็ยังไม่สาม ารถใช้ดุลพินิจพิจารณาคำอุทธรณ์ จนเป็นที่ยุติหรือมีเหตุผลเพียง พอที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงคำสั่งด้วยตนเอง ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ดำเนินกา รเปลี่ยนแปลงคำสั่งแต่ส่งเรื่อง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาจ ึงไม่ใช่สาระสำคัญที่ทำให้คำสั่ งทางปกครองเสียไปส่วนปัญหาที่ว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการกร ะทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย ่างร้ายแรงหรือไม่?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานชัดเจ นว่าผู้ฟ้องคดีขับรถด้วยความเร็ วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและก ารที่ผู้ฟ้องคดีบังคับรถหลบรถคั นอื่นที่วิ่งตัดหน้าอย่างกระชั้ นชิดก็เพื่อป้องกันมิให้รถของทา งราชการชนกับรถคันอื่น ทั้งการสอบสวนรับฟังได้ว่าผู้ฟ้ องคดีได้พักผ่อนเพียงพอที่จะทำห น้าที่ขับรถยนต์และไม่ได้ดื่มสุ ราระหว่างขับรถ อันอาจนำมาซึ่งการเกิดอุบัติเหต ุ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนซึ่งรับแ จ้งอุบัติเหตุเห็นว่าน่าเชื่อว่ าอุบัติเหตุเกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่การที่ผู้ฟ้องคดีขับรถแซงรถห ลายคันซึ่งแล่นตามกันมาในช่องทา งเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีต้องระลึกอยู่เสมอว่า ในภาวการณ์เช่นนั้นอาจมีรถคันอื่นแล่นเปลี่ยนช่องทางออกมาด้านข วาได้ตลอด แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีปราศจา กความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะ เช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤ ติการณ์และผู้ฟ้องคดีอาจใช้ความ ระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาไ ด้ใช้เพียงพอไม่ อุบัติเหตุจึงเกิดจากความประมาท เลินเล่อของผู้ฟ้องคดี แต่ไม่ได้เกิดจากความจงใจหรือปร ะมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ต้องรับผิดชดใช ้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทางราชการตาม มาตรา 8 ประกอบมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ ้องคดีที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใ ช้ค่าสินไหมทดแทน (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 670/2554)
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลั กการสำคัญประการหนึ่งของการดำเน ินการตามขั้นตอนและวิธีการพิจาร ณาอุทธรณ์ตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติรา ชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ว่าการที่เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งทางปกครองไม่ดำเนินการให้ครบถ ้วนถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีกา รดังกล่าวจะถือว่าเป็นสาระสำคัญ ที่จะทำให้คำสั่งทางปกครองเสียไ ปหรือไม่ จะต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็ นกรณีไป ดังนั้น จึงมิได้หมายความว่าการที่เจ้าห น้าที่ผู้ออกคำสั่งทางปกครองไม่ ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการท ี่บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดไว้ จะมีผลทำให้คำสั่งทางปกครองนั้น ไม่เสียไปทุกกรณีและมิได้หมายความว่าขั้นตอนและว ิธีการดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญใน กระบวนการพิจารณาทางปกครอง ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีข้อเท็จจริ งบางกรณีที่ฝ่ายปกครองไม่ดำเนิน การตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่า ว จะมีผลถึงขนาดทำให้คำสั่งทางปกค รองนั้นเสียไปก็ได้ นอกจากนี้ ศาลปกครองสูงสุดยังวางหลักการที่สำคัญในการพิจารณาถึงวิสัยและพ ฤติการณ์ของการกระทำละเมิดกรณีป ระมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไ ม่ด้วย ซึ่งผู้เขียนจะได้ศึกษาค้นคว้าข ้อเท็จจริงในลักษณะดังกล่าวทั้ง สองกรณีมานำเสนอในโอกาสต่อไป
เครดิต: นางสาวนิตาบุณยรัตน์ พนักงานคดีปกครองชำนาญการ กลุ่ม เผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการและวารส าร
สำนักวิจัยและวิชาการสำนักงานศา ลปกครอง
ข้อเท็จจริงในคดีนี้มีว่า ผู้ฟ้องคดี (พนักงานขับรถสังกัดเทศบาล) ได้รับคำสั่งให้ขับรถของราชการไ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานชัดเจ
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลั
เครดิต: นางสาวนิตาบุณยรัตน์ พนักงานคดีปกครองชำนาญการ กลุ่ม
สำนักวิจัยและวิชาการสำนักงานศา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น