ในการสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้
“หรือตามคำสั่ง” หรือ “หรือผู้ถือ” ออกและขีดคร่อมด้วย (ข้อ ๔๘ ของระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคล ังการเก็บรักษาเงินและการนำเงิน ส่งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑)
คดีปกครองที่จะนำมาเล่าสู่กันฟ ังในคอลัมน์กฎหมายใกล้ตัวฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหนี้ของ หน่วยงานของรัฐฟ้องให้หน่วยงานข องรัฐชดใช้ค่าเสียหายจากการที่เ จ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้า ที่เกี่ยวกับการเงินไม่ถือปฏิบั ติตามระเบียบดังกล่าว ซึ่งแม้ว่าข้อเท็จจริงจะเกิดขึ้ นในช่วงของการบังคับใช้ระเบียบก ารเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่ง คลังของส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๒๐ แต่เมื่อหลักการในการสั่งจ่ายเช ็คเพื่อชำระหนี้ของหน่วยราชการเ ป็นไปในลักษณะเดียวกับระเบียบกา รเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่ งคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ คดีนี้จึงสามารถใช้เป็นบรรทัดฐา นการปฏิบัติราชการที่ดีสำหรับกา รปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการเงิน ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ คือ ผู้ฟ้องคดีเป็นบริษัทผู้จำหน่าย เวชภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาล ส. ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดสำนัก งาน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ผู้ถูกฟ้องคดี) เป็นเวลาหลายปี แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐
ถึง พ.ศ. ๒๕๔๔ โรงพยาบาล ส. ไม่ได้ชำระเงินค่าสินค้าตามใบแจ ้งหนี้ ทั้งๆ ที่ผู้ฟ้องคดีได้ทวงถามมาโดยตลอ ด ต่อมาจึงได้ทราบว่าโรงพยาบาลได้ มีการชำระหนี้แล้วบางส่วน โดยเจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยา บาลเขียนเช็คสั่งจ่ายเงินให้กับ ผู้ฟ้องคดีจำนวน ๒๓ ฉบับ แต่ไม่ได้ขีดคร่อมและไม่ได้ขีดฆ ่าคำว่าหรือ “ผู้ถือ” ออก และมอบเช็คดังกล่าวให้ผู้แทนของ ผู้ฟ้องคดี ทำให้มีผู้นำไปขึ้นเงินสดจากธนา คารเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ รับเงินค่าสินค้าผู้ฟ้องคดีเห็น ว่า ผู้ฟ้องคดีทราบหลักเกณฑ์การจ่าย เงินของทางราชการดีว่าจะต้องจ่า ยเป็นเช็คขีดคร่อมและต้องขีดฆ่า คำว่าผู้ถือออก หากโรงพยาบาลปฏิบัติตามระเบียบ ผู้แทนของผู้ฟ้องคดีจะไม่สามารถ นำเช็คไปขึ้นเงินได้ จึงขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าส ินค้าที่ค้างชำระ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิเสธจึงนำคดี มาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพ ากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสิ นค้าจำนวน ๙๕๐,๕๐๐ บาทและดอกเบี้ย
ในเรื่องนี้ผู้ถูกฟ้องคดีให้กา รว่า โรงพยาบาล ส. ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยมีนาง ว.ซึ่งเป็นผู้รับเงินแทน จึงเป็นการชำระหนี้โดยถูกต้องตา มกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ส่วนการเขียนเช็คสั่งจ่ายของเจ้ าหน้าที่การเงินที่ไม่ปฏิบัติตา มระเบียบของทางราชการเป็นเรื่อง ที่จะต้องดำเนินการ
ทางวินัยต่อไป ความเสียหายจึงมิได้เกิดจากการป ระมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของเจ ้าหน้าที่ของรัฐที่ผู้ถูกฟ้องคด ีจะต้องรับผิดชอบ
ประเด็นปัญหาก็คือ การที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส. ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรัก ษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่ วนราชการ เป็นการละเลยต่อหน้าที่และเป็นก ารกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีหรือ ไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อส่วนราชการเป็นผู้กำหนดระเ บียบดังกล่าวขึ้นมาเองและเจ้าหน ้าที่การเงินต่างก็ถือปฏิบัติตา มระเบียบการเก็บรักษาเงินและการ นำเงินส่งคลังของส่วนราชการมาโด ยตลอด รวมทั้งโรงพยาบาล ส. และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ส. ได้ถือปฏิบัติตามระเบียบดังกล่า วเช่นเดียวกัน บุคคลภายนอกผู้เป็นเจ้าหนี้จึงย ่อมคาดหมายและเชื่อโดยสุจริตว่า เจ้าหน้าที่การเงินจะปฏิบัติตาม ระเบียบที่ส่วนราชการเป็นผู้กำห นดและคงปฏิบัติตลอดไปจนกว่าจะมี การยกเลิกระเบียบดังกล่าว ดังนั้น ระเบียบนี้ย่อมมีผลผูกพันให้ส่ว นราชการและเจ้าหน้าที่การเงินต้ องปฏิบัติตาม การที่โรงพยาบาล ส.และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ส. ถือปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าวเฉ พาะกับผู้ขายรายอื่นๆ แต่สำหรับผู้ฟ้องคดีได้ถือปฏิบั ติเฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่า นั้น ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามอำ เภอใจ อีกทั้งไม่มีเหตุผลใดที่เจ้าหน้ าที่ของโรงพยาบาล ส. จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที ่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
แม้ข้อเท็จจริงยังไม่มีน้ำหนักร ับฟังได้ว่าเป็นการกระทำโดยประส งค์ต่อผลหรือกระทำด้วยความจงใจ แต่ก็เป็นการกระทำซึ่งบุคคลพึงค าดหมายได้ว่าอาจก่อให้เกิดความเ สียหายขึ้นได้ซึ่งหากใช้ความระม ัดระวังแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจป้ องกันมิให้เกิดความเสียหายขึ้นไ ด้ แต่กลับมิได้ใช้
ความระมัดระวังเช่นว่านั้น จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยคว ามประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโด ยตรงจากการที่เจ้าหน้าที่ของโรง พยาบาล ส. ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำห นดให้ต้องปฏิบัติ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้อ งคดีที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องรับผิด ในผลแห่งละเมิดดังกล่าวตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประกอบมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
อย่างไรก็ตาม สำหรับความรับผิดของโรงพยาบาล ส. จะมีได้เพียงใดนั้น ศาลปกครองสูงสุดได้นำมาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๔๒ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาวินิจฉัยโดยเห็นว่าผู้ฟ้องคดี มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้ว ย เนื่องจากผู้แทนของผู้ฟ้องคดีไม ่ได้นำเช็คมอบให้ผู้ฟ้องคดีตั้ง แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๔ หากกรรมการผู้จัดการบริษัทใช้คว ามระมัดระวังสอดส่อง ตรวจสอบ ติดตามอย่างบุคคลผู้ค้าขายหรือม ีหนังสือทวงถามเหตุแห่งความล่าช ้าในการสั่งจ่ายเงินก็จะไม่เกิด ความเสียหายมากความเสียหายที่เก ิดขึ้นส่วนหนึ่งจึงเกิดจากความผ ิดหรือความบกพร่องของผู้ฟ้องคดี ทั้งสองฝ่ายจึงมีส่วนเป็นผู้ก่อ ให้เกิดความเสียหายไม่ยิ่งหย่อน กว่ากัน จึงให้ผู้ถูกฟ้องคดีรับผิดชดใช้ ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีในอัตรา ร้อยละห้าสิบของความเสียหาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๗๔๙/๒๕๕๕)
คดีนี้นอกจากจะเป็นบรรทัดฐานการ ปฏิบัติราชการที่ดีและเป็นอุทาห รณ์ที่ดีให้กับหน่วยงานของรัฐแล ะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน ้าที่เกี่ยวกับการสั่งจ่ายเงินข องแผ่นดินว่าจะต้องถือปฏิบัติตา มระเบียบการเก็บรักษาเงินและการ นำเงินส่งคลังของส่วนราชการหรือ แม้กระทั่งกฎหมายหรือระเบียบปฏิ บัติอื่นๆอย่างเคร่งครัดเพราะกฎ หมายหรือระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่ฝ่ายปกครองเป็นผู้กำหนดขึ้นล ้วนมีผลผูกพันฝ่ายปกครองหรือเจ้ าหน้าที่ของรัฐ มีผลต่อความคาดหวังของประชาชนที ่จะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย หรือระเบียบที่ฝ่ายปกครองกำหนดข ึ้นสำหรับใช้ในการปฏิบัติราชการ และมีผลต่อความเชื่อโดยสุจริตขอ งประชาชนว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะ ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแล ้ว ยังเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ประกอบ อาชีพค้าขายหรือรับจ้างกับส่วนร าชการทั่วไปว่า พฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการไ ม่ใช้ความระมัดระวังสอดส่อง ตรวจสอบ ติดตามหรือมีหนังสือทวงถามเหตุแ ห่งความล่าช้าในการสั่งจ่ายเงิน จนเกิดความเสียหายจำนวนมาก ถือเป็นความผิดหรือความบกพร่องท ี่มีส่วนเป็นผู้ก่อให้เกิดความเ สียหายด้วย ...
เครดิต : นายนิรัญ อินดร พนักงานคดีปกครองชำนาญการ กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการแล ะวารสาร สำนักวิจัยและวิชาการ สำนักงานศาลปกครอง ม
วารสารกรมประชาสัมพันธ์ คอลัมน์กฎหมายใกล้ตัว ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖
คดีปกครองที่จะนำมาเล่าสู่กันฟ
ข้อเท็จจริงในคดีนี้ คือ ผู้ฟ้องคดีเป็นบริษัทผู้จำหน่าย
ในเรื่องนี้ผู้ถูกฟ้องคดีให้กา
ทางวินัยต่อไป ความเสียหายจึงมิได้เกิดจากการป
ประเด็นปัญหาก็คือ การที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส. ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรัก
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อส่วนราชการเป็นผู้กำหนดระเ
แม้ข้อเท็จจริงยังไม่มีน้ำหนักร
ความระมัดระวังเช่นว่านั้น จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยคว
อย่างไรก็ตาม สำหรับความรับผิดของโรงพยาบาล ส. จะมีได้เพียงใดนั้น ศาลปกครองสูงสุดได้นำมาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๔๔๒ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คดีนี้นอกจากจะเป็นบรรทัดฐานการ
เครดิต : นายนิรัญ อินดร พนักงานคดีปกครองชำนาญการ กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการแล
วารสารกรมประชาสัมพันธ์ คอลัมน์กฎหมายใกล้ตัว ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น