1. เมื่อเหลียวมองดูพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 36 ซึ่งกำหนด
เกี่ยวกับคุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนประการหนึ่ง คือ เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
2. ลักษณะต้องห้ามเข้ารับราชการประการนี้ คือ มาตรา 36 ข.(7) ก.พ.ยังอาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้ โดยมติของก.พ.ต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสี่ในห้าของจำนวนกรรมการที่มาประชุมโดยลงมติลับ
3. แต่เมื่อลองมองย้อนไปดูตั้งแต่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2471 เป็นต้นมา จนถึงพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันแล้วจะเห็นว่า ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามประเภทนี้มาโดยตลอด มีเพียงบางฉบับคือ พ.ศ.2495 และพ.ศ.2497 เท่านั้น ที่มิได้บัญญัติให้มีการขอยกเว้นคุณสมบัติประการนี้
4. ในการพิจารณายกเว้นคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามประการนี้นั้น ก.พ.จะพิจารณาโดยมติเอกฉันท์และโดยลับ จึงจะได้รับยกเว้นได้มาโดยตลอด ตราบจนกระทั่งพ.ศ.2535 จึงได้ปรับลดคะแนนเสียงในการลงมติเหลือเพียงสี่ในห้าของจำนวนกรรมการในที่ ประชุมในการพิจารณายกเว้นลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับต่างๆ บัญญัติมานั้น เท่าที่ทราบปรากฏว่า มีการได้รับยกเว้นมีจำนวนน้อยมาก
5. ในกรณีที่ข้าราชการหรือบุคคลใดได้ตกอยู่ในลักษณะต้องห้ามดังกล่าวข้างต้น หากมีกฎหมายล้างมลทินใช้บังคับ ก็จะได้รับล้างมลทินโทษออกจากราชการและโทษจำคุกดังกล่าว ทำให้ไม่ต้องขอยกเว้นคุณสมบัติเพื่อที่ขอบรรจุเข้ารับราชการอีก
6. แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม แต่ผู้นั้นยังอาจตกเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 36 ข.(4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ที่ว่า เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคมได้อีก เพราะว่าการล้างมลทินตามกฎหมายล้างมลทินนั้น ล้างแต่โทษหาได้ล้างการกระทำผิดนั้นด้วยไม่นะ
ส่วนราชการจึงต้องระมัดระวังในการบรรจุบุคคลเหล่านั้นเข้ารับราชการด้วย
(หนังสือเวียน ก.พ.ที่น.ว.2/2504 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2504) ... ก็ขอบอกกันไว้ครับ
เครดิต : ราชการแนวหน้า,หนังสือพิมพ์แนวหน้า , วันอังคาร ที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น