คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่การไต่สวนข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงของอนุกรรมการไต่สวน พ.ศ. ๒๕๔๗ นั้น มีวิธีปฏิบัติราชการที่มีหลักประกันความเป็นธรรมน้อยกว่าประกาศคณะกรรมการพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
บทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ไม่ได้กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริง แต่มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริงตามมาตรา 43 คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้ ทั้งนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด
ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ มาตรา ๔๕ วรรคสาม และมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทำการออกระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงของอนุกรรมการไต่สวน พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อกำหนดรายละเอียด หลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการในการไต่สวน โดยปรากฏตามหลักฐานตามข้อความที่ระบุไว้บทนำของระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงของอนุกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. ๒๕๔๗ รายละเอียดปรากฏตามระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงของอนุกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. ๒๕๔๗
เมื่อพิจาณาข้อความในบทนำของระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงของอนุกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. ๒๕๔๗ แล้ว ระเบียบดังกล่าวจึงเป็นเพียงแค่ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ๑ คนเท่านั้น อ้างอำนาจตามกฎหมายโดยขอความเห็นชอบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีเพียงจำนวนเพียงแค่ ๙ คนเอง ออกอนุกฎหมายซึ่งเป็นบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ อันเข้าลักษณะของ “กฎ” ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ เท่านั้น และนอกจากนี้ ระเบียบดังกล่าวยังเป็นกฎหมายลำดับรองที่มีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๕๙๗ เพราะการที่จะตรากฎหมายพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ออกมาใช้บังคับได้นั้น ต้องผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงทั้งหมด 500 คน และยังผ่านการให้ความเห็นชอบของวุฒิสภา ซึ่งมีสมาชิกจำนวน ๑๕๐ คน โดยมี พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ อีกทั้งยังมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วย
แต่เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ออกคำสั่งเพื่อลงโทษทางวินัยแก่พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ไล่ออกจากราชการ หรือปลดออกจากราชการ นายกฯ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ได้อ้างอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ และข้อ ๗๐ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ มาเป็นเหตุผลในการออกคำสั่ง จึงเป็นคำสั่งทางปกครองตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ กรณีการออกคำสั่งทางปกครองจึงต้องอยู่ภายในเงื่อนไขให้ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ กล่าวคือ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายต่าง ๆ ให้ใช้วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่กำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ เว้นแต่วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ตามกฎหมายนั้นได้กำหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองไว้โดยเฉพาะ และมีหลักประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานวิธีปฏิบัติราชการที่ดีกว่า ก็ให้ใช้วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามกฎหมายนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น