คดีปกครองที่จะนำมาเล่าสู่กันฟั งฉบับนี้ เป็นกรณีของเจ้าหน้าที่ที่ใช้สั ญญากู้เงินของคู่สมรสมาเป็นหลัก ฐานในการเบิกค่าเช่าบ้านซึ่งไม่ เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ เทศบาลซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกั ดจึงมีคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมท ดแทนทางละเมิด เนื่องจากทำให้เทศบาลได้รับความ เสียหาย
กรณีดังกล่าวถือเป็นการกระทำละเ มิดในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ?
ขณะผู้ฟ้องคดีดำรงตำแหน่งรองปล ัดเทศบาลได้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่า บ้าน โดยใช้หลักฐานการผ่อนชำระหนี้เง ินกู้ของคู่สมรสที่เป็ นคู่สัญญากู้เงินจากสหกรณ์ออมทร ัพย์ข้าราชการกรมการปกครองเพียง คนเดียวเป็นหลักฐานในการใช้สิทธ ิ โดยผู้ฟ้องคดีไม่ได้ร่วมเป็นคู่ สัญญา แต่ได้ให้ความยินยอมในการทำสัญญ ามาประกอบการขอเบิกเงินสวัสดิกา รค่าเช่าบ้านจากเทศบาล เมื่อผู้ถูกฟ้องคดี (นายกเทศมนตรี) ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสิทธิก ารเบิกค่าเช่าบ้านและพิจารณาอนุ มัติให้ผู้ฟ้องคดีเบิกค่าเช่าบ้ านได้ ผู้ฟ้องคดีก็ใช้หลักฐานการผ่อนช ำระหนี้เงินกู้ของสามีขอเบิกค่า เช่าบ้านมาโดยตลอด ต่อมา เทศบาลมีหนังสือแจ้งให้ชำระเงิน ค่าเช่าบ้านคืน เนื่องจากเป็นการไม่ปฏิบัติตามร ะเบียบและหนังสือสั่งการของกระท รวงมหาดไทย แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ชำระ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีคำสั่งแต่งตั ้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความ รับผิดทางละเมิด ซึ่งคณะกรรมการฯ เห็นว่าการที่ผู้ฟ้ องคดีไม่ศึกษาระเบียบและหนังสือ สั่งการที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ทำให้เบิกเงินค่าเช่าบ้านโดยไม่ มีสิทธิอันเป็นการกระทำโดยประมา ทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีคำสั่งให้ผู้ ฟ้ องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. 2539
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่ง แต่ผู้ถูกฟ้องคดียกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องเพื่อข อให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งดังก ล่าว โดยอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิโดยสุ จริตและผู้ฟ้องคดีและคู่สมรสได้ ร่วมกันนำที่ดินและบ้านซึ่งเป็น กรรมสิทธ์ิร่วมจดทะเบียนจำนองเป ็นประกันการกู้เงิน และนำเงินกู้จากสหกรณ์ฯ ไปชำระราคาบ้านพร้อมที่ดินตามเง ื่อนไขในการกู้เงิน
คำสั่งเรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ ?
โดยมาตรา 8 มาตรา 10 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กำหนดหลักการสำคัญว่าหน่วยงานขอ งรัฐที่เสียหายจะมีอำนาจออกคำสั ่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ชำระเงินเ ป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดได ้ ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้นั้นกระท ำละเมิดหน่วยงานของรัฐนั้นในการ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงใจหรือ ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่า นั้น ในกรณีที่การกระทำละเมิดของเจ้ าหน้าที่ต่อหน่วยงานของรัฐมิใช่ การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐที่เสียหายหามีอำ นาจออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที ่ผู้นั้นชำระเงินเป็นค่าสินไหมท ดแทนไม่ คงมีแต่เพียงสิทธิที่จะฟ้องคดีต ่อศาลที่คดีอยู่ในเขตอำนาจเท่าน ั้น
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่ผู้ฟ้องคดีนำหลักฐานการชำ ระหนี้เงินกู้ของคู่สมรสที่กู้เ งินเพียงคนเดียวโดยผู้ฟ้องคดีมิ ได้ร่วมเป็ นคู่สัญญากู้เงินด้วยมาใช้ประกอ บเป็นหลักฐานการเบิกค่าเช่าบ้าน จากเทศบาลเป็นแต่เพียงการที่ผู้ ฟ้องคดีใช้สิทธิเรียกเอาสิทธิปร ะโยชน์ที่ตนเองเข้าใจว่าพึงมีพึ งได้จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่ นที่ตนอยู่ในสังกัดเท่านั้น มิใช่การกระทำในหน้าที่ตามที่กฎ หมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือที่ ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งหรือมอบห มายให้ปฏิบัติ ดังนั้น หากการกระทำดังกล่าวของผู้ฟ้องค ดีเป็นการกระทำละเมิดต่อเทศบาล ก็ไม่อาจจะถือว่าเป็นการกระทำละ เมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่อาจอาศัยอำน าจตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีชำระเงิน เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดด ังกล่าวได้ พิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ฟ ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแท นแก่เทศบาล (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 55/2557)
คดีนี้เป็นบรรทัดฐานที่ดีสำหรั บหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการใช้ สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน ซึ่งแม้คดีนี้จะเป็นการใช้สิทธิ ตามข้อ 14 (1) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2528 ประกอบกับข้อ 3 ของหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0407/ ว 1174 ลงวันที่ 5 กันยายน 2528 แต่ก็สามารถนำมาปรับใช้กับการเบิกค่าเ ช่าบ้านของข้าราชการอื่น ๆ ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้า ราชการ พ.ศ. 2547 ข้อ 17 เพราะหลักเกณฑ์การใช้สิทธิเบิกค ่าเช่าบ้านไม่ได้มีความแตกต่างก ันครับ !
เครดิต : นายปกครอง , หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์คดีปกครอง ฉบับวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น