กฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน พ.ศ. 2544 ข้อ 14 กำหนดว่า ในการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือ
มีประเด็นที่น่าสนใจว่า หากข้าราชการถูกฟ้องเป็นจำเลยใน คดีอาญาและศาลอาญามีคำพิพากษาลง โทษจำคุกในความผิดฐานลักทรัพย์แ ละทำให้เสียทรัพย์ จะถือว่า เป็นความผิดที่ทำให้เสื่อมเสียเ กียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ร าชการของตน ที่จะทำให้ผู้มีอำนาจสั่งเลื่อน ขั้นเงินเดือนรอการพิจารณาและงด การเลื่อนขั้นเงินเดือนตามหลักเ กณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ ? และหากหน่วยงานไม่ได้มีคำสั่งรอ การเลื่อนขั้นเงินเดือน แต่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้ตามปก ติ จะเพิกถอนคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเ ดือนในภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพา กษาได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 343/ 2555 ได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน ่าสนใจในคดีนี้ผู้ฟ้องคดีถูกฟ้อ งในคดีอาญาฐานลักทรัพย์และทำให้ เสียทรัพย์เมื่อปี พ.ศ. 2544 และในวันที่ 24 ธันวาคม 2545 ศาลอาญามีคำพิพากษาให้ลงโทษจาคุ ก 8 ปี แต่ปรากฏว่า ในปีงบประมาณ 2545 และปีงบประมาณ 2546 กรมการขนส่งทางน้าและพาณิชยนาวี ได้มีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน ให้ตามปกติ โดยไม่ได้สั่งให้รอการเลื่อนขั้ นเงินเดือนไว้ก่อนตามข้อ 14 (3) ของกฎ ก.พ. ดังกล่าว ต่อมาในปี 2547 ผู้ถูกฟ้องคดี (อธิบดีกรมเจ้าท่า (อธิบดีกรมการขนส่งทางน้าและพาณ ิชยนาวี เดิม)) ทราบเรื่อง จึงยกเลิกคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเ ดือน แล้วมีคำสั่งงดการเลื่อนขั้นเงิ นเดือน และมีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือน ให้ตามสิทธิ ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องต่อศาลปกครองข อให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล ะขอให้เลื่อนขั้นเงินเดือนตามกา รประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิ ผลของการปฏิบัติงานตามปกติ โดยอ้างว่าคดีอาญาที่ตนถูกฟ้องเ ป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากมูลเหตุของคดีเกิดจากก ารทะเลาะกันกับเพื่อนบ้าน คดียังไม่ถึงที่สุดโดยอยู่ระหว่ าง การพิจารณาของศาลฎีกา และไม่ได้ถูกจำคุก เนื่องจากในชั้นศาลอุทธรณ์มีคาพ ิพากษาให้รอการลงโทษ จึงไม่ใช่ความผิดที่ทาให้เสื่อม เสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้ าที่ราชการ อีกทั้งเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้รอการเลื่อนขั้น เงินเดือนไว้ก่อนตามกฎหมายการกร ะทำผิดอาญา ที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า มีมูลเหตุจากการทะเลาะกับเพื่อน บ้านและเป็นความผิดส่วนตัวนั้น จะถือเป็นความผิดที่ทำให้เสื่อม เสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้ าที่ราชการของตนตามข้อ 14 (3) ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน พ.ศ. 2544 หรือไม่
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การกระทำใดๆ ที่เบี่ยงเบนออกไปจากกรอบความปร ะพฤติอันดีของผู้มีตำแหน่งหน้าท ี่ราชการหรือแบบธรรมเนียมของทาง ราชการหรือเป็นการกระทาที่ฝ่าฝื นข้อห้าม2ความประพฤติตามที่กฎหม ายกาหนด ซึ่งถือว่าเป็นความผิดไม่ร้ายแร งหรือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อห ้ามทางศีลธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณของข้าราชก ารพลเรือน ถือเป็นความผิดที่ทาให้เสื่อมเส ียเกียรติศักดิ์ของตาแหน่งหน้าท ี่ราชการของตนข้อ 14 ของกฎ ก.พ. ดังกล่าวเป็นมาตรการทางการปกครอ งและการบังคับบัญชาที่มีวัตถุปร ะสงค์เช่นเดียวกับข้อกำหนดทางวิ นัย และการกระทำใดเป็นความผิดที่ทาใ ห้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำ แหน่งหน้าที่ราชการของตนอันเป็น เงื่อนไขให้ผู้มีอานาจสั่งเลื่อ นขั้นเงินเดือนมีอานาจสั่งให้รอ การเลื่อนขั้นเงินเดือนไว้ก่อนไ ด้ เป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาห รือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู ้พิจารณาภายใต้หลักเกณฑ์เดียวกั นกับการพิจารณาทางวินัย จึงเป็นกรณีที่กฎหมายให้อานาจผู ้บังคับบัญชาในการสั่งให้รอการเ ลื่อนขั้นเงินเดือนจากมูลเหตุขอ งความผิดในการปฏิบัติหน้าที่ราช การหรือความผิดที่นอกเหนือจากกา รปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่ทำให้เ สื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน ่งหน้าที่ราชการของตนด้วย ดังนั้น การถูกดำเนินคดีอาญาและลงโทษจำค ุกในความผิดซึ่งผู้ฟ้องคดีกระทำ โดยเจตนาทาลายทรัพย์สินของบุคคล อื่น แม้คดียังไม่ถึงที่สุด ก็เป็นกรณีผิดกฎหมายและศีลธรรมอ ันเป็นข้อห้ามของสังคม จึงต้องถือว่าเป็นความผิดที่ทำใ ห้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำ แหน่งหน้าที่ราชการของตนที่จะต้ องถูกงดเลื่อนขั้นเงินเดือนตามเ งื่อนไขข้อ 14 (3) ของกฎ ก.พ. ดังกล่าวผู้ถูกฟ้องคดีสามารถเพิ กถอนคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนผ ู้ฟ้องคดีได้หรือไม่
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีจะต้องถูกงดเลื่อนขั้ นเงินเดือนตามเงื่อนไข ข้อ 14 (3) ของกฎ ก.พ. ดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ถูกฟ้อ งคดีอาญาและศาลได้สั่งรับประทับ ฟ้องคดีไว้พิจารณาแล้วจนถึงวันท ี่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก คือ ในปีงบประมาณ 2545 แต่ด้วยเหตุที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้ รายงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีทราบข้อเ ท็จจริง เป็นผลให้มีคาสั่งเลื่อนขั้นเงิ นเดือนตามปกติในปีงบประมาณ 2545 และ 2546 ต่อเนื่องกัน คาสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนในปีง บประมาณ 2545 จึงขัดต่อข้อ 14 (3) ของกฎ ก.พ. ดังกล่าว มีผลให้เป็นคาสั่งทางปกครองที่ไ ม่ชอบด้วยกฎหมายและส่งผลให้คำสั ่งเลื่อนขั้นเงินเดือน ในปีงบประมาณ 2546 มีความผิดพลาดในข้อเท็จจริงเกี่ ยวกับขั้นเงินเดือนที่ผู้ฟ้องคด ีมีสิทธิจะได้รับ จึงทำให้เป็นคาสั่งทางปกครองที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมีอำนาจที่จะเพ ิกถอนคาสั่งทางปกครองดังกล่าวโด ยให้มีผลย้อนหลังได้ตามมาตรา 49 และมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติรา ชการ ทางปกครอง พ.ศ. 2539 และแม้คาสั่งจะมีลักษณะเป็นการใ ห้ประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดี แต่เมื่อเป็นคำสั่งที่ทำขึ้นเพร าะผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้รับคำสั ่งได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอ กให้แจ้งแก่ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป ็นผู้ออกคำสั่ง ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างความเชื ่อโดยสุจริตในความคงอยู่ของคำสั ่งทางปกครองเพื่อให้ได้รับการคุ ้มครองประโยชน์ที่ตนได้รับจากคำ สั่งนั้นได้ตามมาตรา 49 วรรคสอง ประกอบมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คำสั่งเพิกถอนการเลื่อนขั้นเงิน เดือนเพราะถูกงดเลื่อนขั้นเงินเ ดือน คำสั่งแก้ไขการเลื่อนขั้นเงินเด ือน จึงเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็ นไปตามกฎหมายและตามสิทธิที่แท้จ ริงของผู้ฟ้องคดี
คดีนี้ นอกจากศาลปกครองสูงสุดจะได้อธิบ ายความหมายของการกระทำที่ถือว่า เป็น “ความผิดที่ทาให้เสื่อมเสียเกีย รติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชก ารของตน” แล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องขอ งการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไ ม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นคำสั่งที ่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคำ สั่งทางปกครอง กรณีที่ผู้รับคำสั่งทางปกครองไม ่อาจอ้างความเชื่อโดยสุจริตในคว ามคงอยู่ของคำสั่งทางปกครองได้
เครดิต : นางสาวเบญญาภา ไชยคามี พนักงานคดีปกครองชานาญการ , กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการแล ะวารสาร , สานักวิจัยและวิชาการ สานักงานศาลปกครอง
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 343/
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การกระทำใดๆ ที่เบี่ยงเบนออกไปจากกรอบความปร
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีจะต้องถูกงดเลื่อนขั้
คดีนี้ นอกจากศาลปกครองสูงสุดจะได้อธิบ
เครดิต : นางสาวเบญญาภา ไชยคามี พนักงานคดีปกครองชานาญการ , กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการแล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น