ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชก
คดีที่จะนำมาเป็นอุทาหรณ์เล่าสู ่กันฟังในวันนี้ เป็นพฤติการณ์การเรียกรับเงินจา กประชาชน อันถือว่าเป็นการ “ทุจริตต่อหน้าที่” และ “ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” เป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแร งตามมาตรา 82วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราช การพลเรือน พ.ศ. 2535 ติดตามกันดูนะครับว่า ท้ายที่สุดต้องถูกลงโทษทางวินัย อย่างไร?
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า นาง พ. และนาง ร. ได้ไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝา กที่ดินและขายที่ดินพร้อมสิ่งปล ูกสร้าง ณ สำนักงานที่ดินอำเภอ ซึ่งนาง ร. ผู้ซื้อจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเ ป็นจำนวนเงิน 18,000 บาท ผู้ฟ้องคดีซึ่งทำหน้าที่เป็นเพี ยงผู้พิมพ์สัญญาและพยานในการซื้ อขาย ได้เสนอว่าจะช่วยให้เสียค่าธรรม เนียมน้อยลง หลังจากนั้น นาง ร. ได้ให้ตัวแทนนำเงินไปชำระค่าธรร มเนียม 9,848 บาท และอีก 2,500 บาท ได้ใส่ไว้ในแฟ้มและผู้ฟ้องคดีได ้รับแฟ้มไว้ ภายหลังจากการสอบสวนทางวินัยเสร ็จสิ้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (อธิบดีกรมที่ดิน) เห็นว่า มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ ได้ยืนยันพฤติการณด์ ังกล่าว จึงมีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีอ อกจากราชการ ตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราช การพลเรือน พ.ศ. 2535 ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง เนื่องจากมิได้กระทำผิดตามที่ถู กกล่าวหาเพราะมิได้เป็นเจ้าหน้า ที่สอบสวนและจดทะเบียนสิทธิและน ิติกรรม แต่เป็นเพียงผู้พิมพ์สัญญาและเป ็นพยานในสัญญาซื้อขายเท่านั้น นอกจากนี้ คณะกรรมการสอบสวนไม่ให้โอกาสชี้ แจงข้อเท็จจริงและอนุกรรมการและ เลขานุการ อ.ก.พ. กรมที่ดิน บางคนมีเหตุโกรธเคืองกับผู้ฟ้อง คดี จึงได้อุทธรณ์ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (นายกรัฐมนตรี) มีคำสั่งยกอุทธรณ์ตามมติของ ก.พ ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องขอให้ศาลมีคำพ ิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งล งโทษไล่ออกจากราชการ บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องใน คดีนี้มี 3 มาตรา คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพ ลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม “การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัต ิหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประ โยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการแ ละเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ” มาตรา 98 วรรคสอง “การกระทำความผิดอาญาจนได้รับโท ษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกห รือให้รับโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่ าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง” และมาตรา 104 วรรคหนึ่ง “ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระ ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ผู้บั งคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี” ศาลท่านจะวินิจฉัยว่าคำสั่งลงโท ษชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? ดูกันต่อไปครับ
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า พยานบุคคลที่เป็นผู้มอบเงินให้ผ ู้ฟ้องคดี ผู้ขายที่ดิน เจ้าหน้าที่ผู้จดทะเบียนการขายท ี่ดินและเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอ ต่างให้การสอดคล้องกันว่าผู้ฟ้อ งคดีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกา รโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรา ยนี้เกินกว่าการปฏิบัติหน้าที่ต ามปกติทั่วไปและพยานไม่ได้มีเหต ุโกรธเคืองกับผู้ฟ้องคดี จึงเชื่อว่าผู้ฟ้องคดีเรียกรับเ งินจำนวน 2,500 บาท ตามที่ถูกกล่าวหาจริง แม้ผู้ฟ้องคดีจะไม่ใช่พนักงานเจ ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติ กรรมโดยตรง แต่เมื่อเป็นข้าราชการพลเรือนสา มัญมีหน้าที่พิมพ์สัญญาและแก้ทะ เบียน ย่อมมีหน้าที่ราชการเกี่ยวข้องก ับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม เมื่อได้เสนอตัวช่วยเหลือให้มีก ารเสียค่าธรรมเนียมน้อยลงและนาง ร. ยอมมอบเงินให้ตามที่เรียกร้อง พฤติการณ์เป็นการเเรียกรับเงินโ ดยมิชอบจากผู้มาติดต่อราชการ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองได้ประโยช น์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อห น้าที่ราชการและเป็นการกระทำอัน ได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแ รงตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง และในการสอบสวนผู้ฟ้องคดีได้มีโ อกาสรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา อีกทั้ง ข้ออ้างว่าอนุกรรมการบางคนมีเหต ุโกรธเคืองกับผู้ฟ้องคดีก็เป็นเ พียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักคว รเชื่อแต่อย่างใด คำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงชอบด้วยกฎหมาย (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 463/2553)
คดีนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ดีให้ข ้าราชการได้ตระหนักรู้ถึงบทบาทห น้าที่ของตน ไม่ใช่ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประ โยชน์โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือ ผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ ซึ่งแม้ผลประโยชน์ที่ได้มานั้นจ ะมีจำนวนมากหรือน้อย ก็ย่อมส่งผลต่อสถานะความเป็นข้า ราชการไม่แตกต่างกัน...
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า นาง พ. และนาง ร. ได้ไปขอจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝา
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า พยานบุคคลที่เป็นผู้มอบเงินให้ผ
คดีนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ที่ดีให้ข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น