บทความนี้เป็นบทความที่ผู้เขียน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาล ปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 5
พ.ศ.2551 โดยให้เพิ่มความหมายของคำว่า “ ประโยชน์แก่ส่วนรวม” เข้าไป (1)
การใช้ประโยชน์จากถ้อยคำ ความหมายของ ประโยชน์แก่ส่วนรวม
ในการฟ้องคดีในคดีสัญญาทางปกครอ ง ควรมีขอบเขตในการพิจารณาและใช้เ พียงใด เป็นประเด็นและปัญหาที่จะได้กล่ าวต่อไป กล่าวคือ การฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้กำหนด ระยะเวลาการฟ้องไว้ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง คำสั่งทางปกครอง (2) สัญญาทางปกครอง และละเมิดทางปกครอง (3) ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะเรื่องกา รฟ้องคดีในเรื่องสัญญาทางปกครอง (4) กรณีหน่วยงานทางปกครองฟ้องเรียก เงิน
จากเอกชน ซึ่งถือว่า เป็นคดีที่มีจำนวนมาก และเป็นคดีทั่ว ๆ ไป
ที่หน่วยงานทางปกครองฟ้องเอกชน หรือกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่า
คดีสัญญาทางปกครองโดยส่วนใหญ่จะ เป็นกรณีที่หน่วยงานทางปกครองฟ้ องเอกชนให้ รับผิดในการชำระเงิน ไม่ว่า จะเป็นสัญญาทุน (5) สัญญาจ้างก่อสร้าง (6) ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ให้เอ กชนชำระเงินทั้งสิ้น ซึ่งหากเป็นการฟ้องเมื่อพ้นระยะ เวลาการฟ้องคดีแล้ว โดยจะอ้างเหตุประโยชน์แก่ส่วนรว ม เพื่อจะทำให้ฟ้องคดีได้เกินกว่า ระยะเวลา 5 ปี นั้น จะทำได้หรือไม่ และควรพิจารณาในกรอบเพียงใด อะไรคือหลัก อะไรคือข้อยกเว้น จะนำข้อยกเว้นมาเป็นหลักได้หรือ ไม่
บทความนี้จะแบ่งออกเป็นส องประเด็น ประเด็นแรก คือ การนำถ้อยคำว่า ประโยชน์แก่ส่วนรวม มาใช้ในการฟ้องคดีเมื่อพ้นระยะเ วลาการฟ้องคดีปกครองแล้ว และประเด็นที่สอง การแก้ไขให้คำนิยาม คำว่า ประโยชน์แก่สวนรวม มีผลก่อนและหลังการแก้ไขอย่างใด หรือไม่
ประเด็นแรก ระยะเวลาการฟ้องคดี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกคร องและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
มาตรา 51 การ ฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ให้ยื่นฟ้องภายในหนึ่งปี และการฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ให้ยื่นฟ้องภายในห้าปีนับแต่วัน ที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการ ฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่มีเ หตุแห่งการฟ้องคดี
ซึ่งต้องถือว่า มาตราดังกล่าวเป็นหลักใน เรื่องระยะ เวลาการฟ้องคดี ในเรื่องสัญญาทางปกครอง ที่ให้ฟ้องภายใน 5 ปี ซึ่งหากพิจารณาแล้ว หากกรณีถือว่า ข้อใดเป็นหลักแล้ว ข้อนั้นมีผลบังคับโดยทั่วไป มาตรานี้ต้องถือว่า เป็นหลักในเรื่องระยะเวลาการฟ้อ งคดีในกรณีสัญญาทางปกครอง ที่ทุกคดีต้องยึดถือและปฎิบัติต าม แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อมีหลักก็มีข้อยกเว้น กล่าวคือ เหตุที่จะทำให้ฟ้องเกินกว่า 5 ปี นั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกคร องและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
มาตรา 52 วรรคสอง
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่นเมื่อพ้ นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรว มหรือมีเหตุ จำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่ กรณีมีคำขอ ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้
มาตรา 52 นี้ เป็น ข้อยกเว้น ที่จะทำให้ฟ้องคดีเรื่องสัญญาทา งปกครองฟ้องได้เมื่อเกิน 5 ปีแล้ว ข้อยกเว้นการฟ้องคดีเมื่อพ้นระย ะเวลาการฟ้องคดีแล้วจะทำได้เพีย งสองกรณี กล่าวคือ 1.เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม และ 2.มีเหตุจำเป็นอื่น โดยในบทความนี้จะขอกล่าวเพียง คำว่า ประโยชน์แก่ส่วนรวม เท่านั้น ตามประเด็นของหัวข้อในบทความนี้ กรณีสัญญาทางปกครองซึ่งเป็นคดีท ี่มีจำนวนมากประเภทหนึ่งของคดีป กครองที่ หน่วยงานทางปกครองฟ้องเรียกเงิน จากเอกชน ซึ่งหากมีการฟ้องคดีเกินกว่าระย ะเวลาการฟ้องโดยอ้างเหตุนำเงินส ่งเข้าเป็น รายได้รัฐ หรือแผ่นดิน หรือเพื่อจะนำเงินนั้นมาใช้จัดท ำบริการสาธารณะเป็นประโยชน์แก่ส ่วนรวมเหล่า นี้ ศาลปกครองสูงสุดก็เคยมีคำพิพากษ าในหลายๆ คดีแล้วว่า กรณีดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์แก่ ส่วนรวม(7) ดังนั้น การฟ้องคดีสัญญาทางปกครองที่หน่ วยงานทางปกครองฟ้องเรียกเงินจาก เอกชน
ไม่ว่าจะเป็นสัญญาทุน สัญญาจ้างก่อสร้าง ฯลฯ ที่เกินกว่า 1
ปีตามกฎหมายเก่า ที่เคยฟ้องกันมาแล้ว และเกินกว่า 5 ปี ตามกฎหมายใหม่
ภายหลังจากที่กฎหมายใหม่มีผลใช้ บังคับแล้ว หน่วยงานทางปกครองจะอ้างว่า เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ด้วยการอรรถาธิบายว่า เป็นการนำเงินส่งเข้าเป็นรายได้ รัฐ หรือแผ่นดิน หรือเพื่อจะนำเงินนั้นมาใช้จัดท ำบริการสาธารณะ นั้น หากฝ่ายปกครองเข้าใจถึงหลักและข ้อยกเว้นแล้ว ในอดีตที่เคยอ้างและฟ้องกันมาก็ คงจะไม่ปรากฏกรณีกล่าวอ้างเช่นน ั้น และกรณีดังกล่าวน่าจะกระทำได้ภา ยในขอบเขตที่จำกัด เฉพาะเรื่องเฉพาะกรณีเท่านั้น และต้องเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมโ ดยตรงและแท้จริงเท่านั้น จะนำมาใช้กับคดีที่มีลักษณะทั่ว ๆ ไป ที่เกินกว่า 1 ปีตามกฎหมายเก่า หรือ 5 ปีตามกฎหมายใหม่ เช่น คดีสัญญาทางปกครองที่หน่วยงานทา งปกครองฟ้องเรียกเงินจากเอกชน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล เป็นการนำเงินส่งเข้าเป็นรายได้ รัฐ หรือแผ่นดินก็ดี หรือเพื่อจะนำมาใช้จัดทำบริการส าธารณะก็ดี มิน่าจะทำได้ เนื่องจากข้อยกเว้นการฟ้องคดีโด ยเหตุประโยชน์ต่อส่วนรวมนั้น น่าจะต้องใช้ในกรณีที่จำกัด จะนำเอาเหตุเป็นการนำเงินส่งเข้ าเป็นรายได้รัฐ หรือแผ่นดินก็ดี หรือเพื่อจะนำมาใช้จัดทำบริการส าธารณะก็ดี มาอ้างมิน่าจะทำได้ เพราะเหตุเหล่านั้นเป็นหน้าที่ต ามกฎหมายและภารกิจหลักของฝ่ายปก ครองอยู่แล้ว หรือเป็นเพียงเหตุทั่วไปของหน้า ที่ของหน่วยงานทางปกครอง ซึ่งมีหน้าที่จัดทำบริการสาธารณ ะ หากให้นำเหตุทั่วไปของหน้าที่ขอ งหน่วยงานทางปกครองมาใช้ได้แล้ว การที่หน่วยงานทางปกครองฟ้องเรี ยกเงินจากเอกชนก็เป็นเพื่อประโย ชน์แก่ส่วน รวมหมด ซึ่งเท่ากับว่า หน่วยงานทางปกครองฟ้องเรียกเงิน ทุกเรื่อง เข้าข้อยกเว้นที่ฟ้องเกินกว่าระ ยะเวลาการฟ้องคดีได้ทุกเรื่องทุ กกรณี มีผลไม่ต่างกับการเอาข้อยกเว้นม าเป็นหลักให้หน่วยงานทางปกครองใ นการฟ้องคดี ดังนั้น ในอดีตที่ผ่านมาหน่วยงานทางปกคร องฟ้องโดยอ้างนำเอาเหตุเป็นการน ำเงินส่งเข้า เป็นรายได้รัฐ หรือแผ่นดินก็ดี หรือเพื่อจะนำมาใช้จัดทำบริการส าธารณะก็ดี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมนั้ น น่าจะเป็นการเข้าใจหลักในการฟ้อ งคดีที่ผิดพลาด
หากหน่วยงานทางปกครองฟ้อ งคดีสัญญาทางปกครองเรียกเงินจาก เอกชนเพื่อนำ เงินนั้นมาจัดทำบริการสาธารณะ อาจจะกลายเป็นกรณี เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมไปหมดทุก คดี ทำให้ฟ้องได้เกิน 5 ปี ตามกฎหมายใหม่ทุกเรื่อง แต่กรณีกลับกัน เอกชนฟ้องหน่วยงานทางปกครองให้ร ับผิดชำระเงินจะต้องฟ้องภายในระ ยะเวลาที่ จำกัดเท่านั้น และการฟ้องคดีเมื่อพ้นระยะเวลาก ารฟ้องคดีแล้วโดยอ้างว่า เป็นประโยชน์อันเกิดแก่การจัดทำบริก ารสาธารณะ ตามคำนิยามใหม่นั้น ข้อยกเว้นการฟ้องคดีเกินระยะเวล าตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว ก็เป็นอำนาจดุลพินิจของศาลปกครอ งที่จะรับฟ้องไว้หรือไม่ก็ได้(8 ) ถึงแม้การฟ้องคดีนั้นจะได้ความต ามคำนิยามแล้วก็ตาม ซึ่งแตกต่างกับการฟ้องในเรื่องค ุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ที่ศาลไม่มีอำนาจดุลพินิจที่จะไ ม่รับ สังเกตได้จากกฎหมาย ใช้ถ้อยคำว่า การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับกา รคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือสถานะของบุคคลจะยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้ นั้น แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นเรื่องของการคุ้มครองประ โยชน์สาธารณะแล้วไม่มีข้อจำกัดเ รื่องระยะ เวลา และไม่มีเรื่องของดุลพินิจของศา ลที่จะปฎิเสธไม่รับคำฟ้อง(9) ยกเว้นกรณีเดียวที่ศาลจะปฎิเสธไ ด้ คือ กรณีนั้นมิใช่เป็นการคุ้มครองปร ะโยชน์
สาธารณะ ถ้าหากเป็นดุลพินิจของศาล กฎหมายก็จะใช้คำว่า
ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้ ตามบทบัญญัติของมาตรา 52 วรรคท้าย
ซึ่งสุดท้ายแล้วแม้จะเป็นการฟ้อ งที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมตามค ำนิยามใหม่ แล้วก็ตาม สุดท้ายศาลก็ยังมีอำนาจดุลพินิจ ที่จะปฎิเสธคำฟ้องที่เกินกว่าระ ยะเวลาที่ กฎหมายกำหนดได้อยู่นั้นเอง ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดในปร ะเด็นที่สอง
การใช้ประโยชน์จากถ้อยคำ “ประโยชน์แก่ส่วนรวม” ซึ่งเป็นเพียงข้อยกเว้น ฝ่ายปกครองต้องใช้ภายในขอบเขตที ่จำกัด จะใช้เป็นกฎหมายหลักแทน มาตรา 51 หรือใช้ให้มีผลทั่วไปมิได้ การตีความข้อยกเว้น ให้มีผลแทนที่กฎหมายหลักจึงมิอา จกระทำได้ หรือหากมีการนำมาใช้แล้ว จะมีผลต่อประเภทคดีนั้น ๆ (คดีที่หน่วยงานทางปกครองฟ้องคด ีสัญญาทางปกครองเรียกเงินจากเอก ชน) ในภาพรวมทั้งหมดแล้ว นั้นเท่ากับว่า หน่วยงานทางปกครองกำลังจะนำเอาข ้อยกเว้นมาใช้เป็นหลักแทน ซึ่งน่าจะเป็นกรณีที่ไม่ถูกต้อง ในการบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งข้อยกเว้นกว้างมากเท่าใดยิ่ งกระทบหลักมากเท่านั้น
ประเด็นที่สอง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ ละวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
มาตรา 52 การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับกา รคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือสถานะของบุคคลจะยื่นฟ้องคดี เมื่อใดก็ได้
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่น เมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรว มหรือมีเหตุ จำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่ กรณีมีคำขอ ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้
ในประเด็นนี้จะได้พิจารณ าถึงการเพิ่มคำนินามของประโยชน์ แก่ส่วนรวม เข้าไปว่าจะมีผลต่อการฟ้องคดีแค ่ไหนเพียงใด โดยหลักการที่ฝ่ายปกครองแก้ไขกฎ หมายในเรื่องการฟ้องคดีตามพระรา ชบัญญัติจัด ตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี ปกครอง (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2551 ก็เพื่อจะทำให้คดีสัญญาทางปกครอ งมีระยะเวลาการฟ้องเพิ่มขึ้น และด้วยการเพิ่มคำนิยามของประโย ชน์แก่ส่วนรวม ผู้เขียนมีความเห็นส่วนตัวว่า เพื่อที่จะจำกัด ควบคุมแนววินิจฉัยของศาลปกครองใ นเรื่องประโยชน์แก่ส่วนรวม ตามที่ฝ่ายปกครองกำหนด ประกอบกับการแก้ไขนี้มิได้เป็นก ารดำหริริเริ่มของทางศาลปกครองแ ต่อย่างใด จึงได้สร้างคำนิยามขึ้นมา เพราะแต่ก่อนไม่มีคำนิยามในเรื่ องนี้ ศาลจึงต้องอาศัยการพิพากษาในการ สร้างหลักกฎหมายในกรณีดังกล่าว ให้เป็นแนวบรรทัดฐานแก่คดีที่จะ เกิดขึ้นในภายหลัง โดยเฉพาะการฟ้องเพื่อนำเงินไปใช ้จัดทำบริการสาธารณะ ซึ่งมาตราดังกล่าวข้างต้น ได้บัญญัติเหตุที่จะฟ้องคดีเกิน ระยะเวลาไว้ด้วยกัน 3 เหตุ กล่าวคือ
1. คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
2. ประโยชน์แก่ส่วนรวม
3. เหตุจำเป็นอื่น
จะเห็นได้ว่า หากเป็นการฟ้องเพื่อคุ้มครองประ โยชน์สาธารณะ กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจดุลพินิจศา ลในการที่จะไม่รับคดีไว้แต่อย่า งใด แตกต่างกับการฟ้องเพื่อประโยชน์ ส่วนรวมหรือเหตุจำเป็นอื่น ที่ในที่สุดแล้ว ก็ยังคงเป็นอำนาจดุลพินิจของศาล ที่จะรับคดี ไว้หรือไม่ก็ได้ แม้จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมตาม คำนิยามที่มีการแก้ไขแล้วก็ตาม ตามที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้ นแล้ว
ด้วยความเคารพต่อหลักการ และเหตุผลในการแก้ไขของผู้เสนอใ ห้มีการแก้ไข การแก้ไขดังกล่าวนั้น ในที่สุดแล้ว การจะรับคดีประเภทนี้ก็ยังคงอยู ่ในดุลพินิจของศาลตามหลักการเดิ ม ถึงแม้จะเข้าเงื่อนไขตามคำนิยาม ที่มีการแก้ไข แต่หากมีการให้คำจำกัดความของคำ ว่า ประโยชน์สาธารณะ หรือคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ น่าจะมีผลในการฟ้องคดีที่เกินกว ่า 5 ปี ดีกว่าการแก้ไข คำว่า ประโยชน์แก่ส่วนรวม เพราะการฟ้องเพื่อคุ้มครองประโย ชน์สาธารณะ ศาลไม่น่าจะมีอำนาจดุลพินิจปฎิเ สธไม่รับคำฟ้อง ยกเว้นเหตุเดียว กล่าวคือ กรณีดังกล่าวมิใช่ประโยชน์สาธาร ณะหรือการคุ้มครองประโยชน์สาธาร ณะ ตามคำนิยามเท่านั้น การแก้ไข คำว่า ประโยชน์แก่ส่วนรวม สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นอำนาจดุล พินิจในการรับคดีของศาลปกครองหร ือไม่อยู่ดี ซึ่งการโต้แย้งในเรื่องดุลพินิจ นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำได้ ยาก หากศาลปฎิเสธไม่รับคำฟ้อง ซึ่งไม่น่าจะมีผลแตกต่างจากกฎหม ายเดิมก่อนการแก้ไขแต่ประการใด เพียงแต่เพิ่มกรอบการพิจารณาให้ ศาลขึ้นเท่านั้น ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายค่อนข้า งน้อย แต่ถ้าหากแก้ไขให้คำจำกัดความขอ งคำว่า “ประโยชน์สาธารณะ หรือ คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ” แล้ว หากมีการฟ้องคดีประเภทสัญญาทางป กครองที่เกินระยะเวลาที่กฎหมายก ำหนด และกรณีใดเข้าตามเงื่อนไขของคำน ิยามดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาในการรับฟ้องแต่อ ย่างใด เหตุที่ศาลจะปฎิเสธไม่รับฟ้องมี เพียงเหตุเดียว คือ ไม่ใช่ประโยชน์สาธารณะหรือไม่ใช ่การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเท่ านั้น หากศาลไม่รับฟ้องการโต้แย้งในกา รอุทธรณ์น่าจะทำได้ง่ายกว่าการโ ต้แย้ง
ใน เรื่องที่เป็นดุลพินิจ การแก้ไขกฎหมายนั้น
ในเรื่องคำนินามของกฎหมายบางคำ ที่ควรจะมีการบัญญัติไว้
แต่ฝ่ายปกครองหรือผู้ที่มีอำนาจ กลับไม่ขวนขวายให้มีการแก้ไขเพิ ่มเติม ทั้ง ๆ ที่มีผลกระทบต่อฝ่ายปกครองโดยตร ง เช่น คำว่า ความรับผิดอย่างอื่น(10) ซึ่งในทางปฎิบัติที่เป็นคดีในศา ล มีความหมายกว้างและครอบคลุมในหล าย ๆ เรื่องของหน่วยงานทางปกครองหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐมาก หากท่านผู้อ่านสังเกตดี ๆ ความรับผิดอย่างอื่นนั้นหากไม่เ ข้าเงื่อนไขการฟ้องคดีปกครองตาม พระราช บัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง อนุมาตราใดเลย อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเข้าในเร ื่องความรับผิดอย่างอื่น นั้นหมายความว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท ี่อาจถูกฟ้องได้อย่างกว้างขวางม ากนั้นเอง ซึ่งหากมีการสร้างคำนิยามเรื่อง นี้แล้ว ขอบเขตของการดำเนินคดีปกครองในป ระเภทความรับผิดอย่างอื่นก็จะชั ดเจนและ กระชับมากยิ่งขึ้น .
เชิงอรรถ
1. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ ละวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2551
มาตรา 3 ให้เพิ่มบทนิยามคำ ว่า “ประโยชน์แก่ส่วนรวม” ต่อจากบทนิยามคำว่า
“สัญญาทางปกครอง” ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกค รองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
“ประโยชน์แก่ส่วนรวม” หมายความว่า ประโยชน์ต่อสาธารณะหรือประโยชน์ อันเกิดแก่การจัดทำบริการสาธารณ ะหรือการจัด ให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือประโยชน์อื่นใดที่เกิดจากกา รดำเนินการหรือการกระทำที่มีลัก ษณะเป็นการ ส่งเสริม หรือสนับสนุนแก่ประชาชนเป็นส่วน รวมหรือประชาชนส่วนรวมจะได้รับป ระโยชน์จาก การดำเนินการหรือการกระทำนั้น”
2. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ ละวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
มาตรา 49 การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้อง ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้ หรือควรรู้ ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเก้าสิ บวันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้ม ีหนังสือร้อง ขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้า หน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน ้าที่ตามที่ กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือ ชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือได้รั บแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเ ห็นว่าไม่มี เหตุผล แล้วแต่กรณี เว้นแต่จะมีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไ ว้เป็นอย่างอื่น
3. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ ละวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 51 การฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ให้ยื่นฟ้องภายในหนึ่งปีและการฟ ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ให้ยื่นฟ้องภายในห้าปี นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเห ตุแห่งการฟ้องคดีแต่ไม่เกินสิบป ีนับแต่วัน ที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี
4. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ ละวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 3 “สัญญาทางปกครอง” หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใ ดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอ งหรือเป็น บุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรื อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชา ติ
5. คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 510/2547 วินิจฉัยว่าเป็นสัญญาทางปกครอง
6. คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.32/2546 วินิจฉัยว่าเป็นสัญญาทางปกครอง
7. คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 104/2547 , 264/2547 , 293/2547 , 394/2547
8. มาตรา 52 การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับกา รคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือสถานะของบุคคลจะยื่นฟ้องคดี เมื่อใดก็ได้
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่น เมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ ว ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรว มหรือมีเหตุ จำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่ กรณีมีคำขอ ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้
9. คล้ายกับอำนาจผูกพันในหลักกฎหมา ยปกครอง กล่าวคือ หากเงื่อนไขครบตามที่กฎหมายกำหน ดแล้ว ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ไว้เพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่อาจสั่งการให้แตกต่างเป็นอย่ างอื่นได้
10. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ ละวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิ ดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่ วยงานทาง ปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอัน เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที ่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือ ปฏิบัติ หน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
*********************** ****************************** *****************
ที่มา : http://www.pub-law.net/publaw/ view.aspx?id=1402
บทความนี้จะแบ่งออกเป็นส
ประเด็นแรก ระยะเวลาการฟ้องคดี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกคร
มาตรา 51 การ ฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ให้ยื่นฟ้องภายในหนึ่งปี และการฟ้องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (4) ให้ยื่นฟ้องภายในห้าปีนับแต่วัน
ซึ่งต้องถือว่า มาตราดังกล่าวเป็นหลักใน เรื่องระยะ เวลาการฟ้องคดี ในเรื่องสัญญาทางปกครอง ที่ให้ฟ้องภายใน 5 ปี ซึ่งหากพิจารณาแล้ว หากกรณีถือว่า ข้อใดเป็นหลักแล้ว ข้อนั้นมีผลบังคับโดยทั่วไป มาตรานี้ต้องถือว่า เป็นหลักในเรื่องระยะเวลาการฟ้อ
มาตรา 52 วรรคสอง
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่นเมื่อพ้
มาตรา 52 นี้ เป็น ข้อยกเว้น ที่จะทำให้ฟ้องคดีเรื่องสัญญาทา
หากหน่วยงานทางปกครองฟ้อ
การใช้ประโยชน์จากถ้อยคำ
ประเด็นที่สอง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ
มาตรา 52 การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับกา
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่น
ในประเด็นนี้จะได้พิจารณ
1. คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
2. ประโยชน์แก่ส่วนรวม
3. เหตุจำเป็นอื่น
จะเห็นได้ว่า หากเป็นการฟ้องเพื่อคุ้มครองประ
ด้วยความเคารพต่อหลักการ
เชิงอรรถ
1. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ
มาตรา 3 ให้เพิ่มบทนิยามคำ ว่า “ประโยชน์แก่ส่วนรวม” ต่อจากบทนิยามคำว่า
“สัญญาทางปกครอง” ในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกค
“ประโยชน์แก่ส่วนรวม” หมายความว่า ประโยชน์ต่อสาธารณะหรือประโยชน์
2. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ
มาตรา 49 การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้อง
3. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ
4. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ
5. คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 510/2547 วินิจฉัยว่าเป็นสัญญาทางปกครอง
6. คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.32/2546 วินิจฉัยว่าเป็นสัญญาทางปกครอง
7. คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 104/2547 , 264/2547 , 293/2547 , 394/2547
8. มาตรา 52 การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับกา
การฟ้องคดีปกครองที่ยื่น
9. คล้ายกับอำนาจผูกพันในหลักกฎหมา
10. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองแ
***********************
ที่มา : http://www.pub-law.net/publaw/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น