15 ก.ค. 2559

“ทหารพิการ” ขอบำเหน็จพิเศษให้ผมเถอะครับ !


             
 คดีปกครองที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังฉบับนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ทหาร”ที่พิการทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่และถูกปลดออกจากราชการเพราะเหตุที่มีร่างกายพิการ แต่กองทัพบกไม่พิจารณาจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษให้จึงนำคดีมาฟ้องศาลปกครองขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กองทัพบกและกรมกำลังพลทหารบกพิจารณาจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษให้

              เดิมผู้ฟ้องคดีเป็นอาสาสมัครทหารพรานและได้รับแต่งตั้งเป็นพลอาสาพิเศษ และขึ้นทะเบียนกองประจำการมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2535 ต่อมา ได้ร้องขอเข้ากองประจำการตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหารและปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดกรมทหารพรานที่ 42 ปฏิบัติหน้าที่ชุดลาดตระเวนและเกิดปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้ายเป็นเหตุให้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2536 กองทัพภาคที่ 4 จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี ออกจากราชการ เนื่องจากปลดพิการตามความเห็นแพทย์เมื่อวันที่31 มกราคม 2537 ผู้ฟ้องคดีจึงได้ขอรับบำเหน็จพิเศษแต่ผู้ถูกฟ้องคดี (กองทัพบกและกรมกำลังพลทหารบก) ไม่ให้มีสิทธิดังกล่าว โดยอ้างว่า ในขณะเกิดเหตุปะทะกับขบวนการโจรก่อการร้ายผู้ฟ้องคดีพ้นจากการเป็นทหารกองประจำการ และในการปฏิบัติหน้าที่ในกรมทหารพรานที่ 42 เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพลอาสาพิเศษจึงมีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิใช่ข้าราชการทหารและมิใช่ทหารกองประจำการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร พ.ศ. 2521 จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับสิทธิในการรับเงินบำเหน็จพิเศตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการพิจารณาบำเหน็จพิเศษในเวลาเหตุฉุกเฉิน พ.ศ.2529 กำหนดว่า ทหารผู้ใดได้ทำการสู้รบหรือต่อสู้หรือปฏิบัติราชการในเวลาเหตุฉุกเฉินจนได้รับอันตรายถึงชีวิตหรือทุพพลภาพให้ได้รับบำเหน็จพิเศษโดยพิจารณาเลื่อนชั้นเงินเดือน หรือให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบหรือให้ได้รับ เงินรางวัลสำหรับการสู้รบ (ข้อ 5) และ “ทหาร” หมายความว่า ข้าราชการทหารและทหารกองประจำการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหารพ.ศ. 2521 (ข้อ 4.1)

                 คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยสถานะของผู้ฟ้องคดีว่าเป็น “ทหารกองประจำการ” ตั้งแต่เมื่อใดว่า ผู้ฟ้องคดีเข้ารับราชการทหารกองประจำการด้วยวิธีอื่น โดยการร้องขอเข้ากองประจำการเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2535 ตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ประกอบข้อ 2 และข้อ3 (3) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 35 (พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ผู้ฟ้องคดีจึงเป็น“ทหารกองประจำการ”ตามมาตรา 4 (3) แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 โดยวันที่ขึ้นทะเบียนกองประจำการเป็นวันเริ่มเข้ารับราชการทหารกองประจำการ  ดังนั้น วันที่ 4 สิงหาคม 2535 จึงเป็นวันเริ่มรับราชการทหารกองประจำการผู้ฟ้องคดีจึงต้องรับราชการทหารมีกำหนดสองปีหรือจนกว่าจะได้ปลดตามมาตรา 4 (3) ประกอบมาตรา 9 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น ในวันที่  8 พฤศจิกายน 2536 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุและผู้ฟ้องคดีเป็นทหารกองประจำการแล้ว ผู้ฟ้องคดี จึงมีฐานะเป็น “ทหาร” การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแต่งตั้งเป็นพลอาสาพิเศษ เป็นเพียงการดำเนินการตามระเบียบภายในของกองทัพบกที่ต้องรับบุคคลที่เป็นอาสาสมัครทหารพรานและได้รับการฝึกอบรมแล้วมาช่วยปฏิบัติภารกิจเป็นกรณีพิเศษ แม้ผู้ฟ้องคดีเข้าเป็นทหารกองประจำการแล้วคงปฏิบัติหน้าที่พลอาสาพิเศษต่อไปอีกก็หาได้กระทบต่อสถานะของการเป็นทหารกองประจำการของผู้ฟ้องคดีตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหารแต่อย่างใดเมื่อขณะเป็นทหารกองประจำการได้ปะทะกับโจรก่อการร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงทุพพลภาพผู้ฟ้องคดีจึงมีฐานะเป็นทหารที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาบำเหน็จพิเศษตามข้อ 5 ของข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการพิจารณาบำเหน็จพิเศษในเวลาเหตุฉุกเฉินพ.ศ. 2529 (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 852/2555)

                คดีนี้เป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดีให้กับหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าก่อนจะใช้อำนาจสั่งการใดๆ นั้นนอกจากต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกฎหมายแล้วยังต้องศึกษาและเข้าใจข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างถ่องแท้ ครับ !

              เครดิต: นายปกครอง(หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์คดีปกครอง ฉบับวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2556)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ... จ่ายตามฐานะไม่ได้ !

คดีปกครองที่นำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยพิบัติจากฝนตกหนักและลมพัดแรงทำให้หลังคาบ้านเ...