ในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การเป็นผู้มีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
(กรณีเทศบาลตำบลวังสะพุง) คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ได้อธิบายความมุ่งหมายของมาตรา
๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล ฯ ไว้ว่า
การพิจารณาความมุ่งหมายของมาตรานี้
นอกจากจะพิจารณาว่าในการปฏิบัติตามสัญญานั้นสมาชิกผู้นั้นได้รับประโยชน์โดยตรงหรือไม่แล้ว
ยังต้องพิจารณาว่าสมาชิกผู้นั้นมีความสัมพันธ์กับคู่สัญญา
ในลักษณะที่จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อตนในทางอ้อม
อันจะได้ชื่อว่ามีส่วนได้เสียในทางอ้อมหรือไม่ ซึ่งความสัมพันธ์ที่มีอยู่อาจจะเป็น
ดังนี้ (๑) ความสัมพันธ์ในเชิงบริหาร โดยเป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ
กรรมการผู้จัดการ ตัวแทน
ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของบุคคลธรรมดาหรือของนิติบุคคลที่มีการกระทำกับเทศบาล (๒) ความสัมพันธ์ในเชิงทุน
โดยเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด
หรือผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดซึ่งสามารถครอบงำการจัดการบริษัทได้ หรือ (๓)
ความสัมพันธ์ในระหว่างบุคคล ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูต่อกัน
เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา หรือความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แนววินิจฉัย
๒.๑ ความสัมพันธ์ในระหว่างบุคคล
สามี -
เทศมนตรีเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เป็นหุ้นส่วนห้างฯ ซึ่งทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาล
ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับห้างฯ โดยทางคู่สมรส
บุตรสาว –
นายกเทศมนตรีเป็นบุตรสาวของหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของห้างฯ
ซึ่งในฐานะที่เป็นบุตรย่อมมีหน้าที่ตาม ป.ป.พ. มาตรา ๑๕๖๓ (๔)
ที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งยังมีสิทธิเป็นทายาทโดยชอบตามกฎหมายตามมาตรา
๑๖๒๙(๑)(๕) ดังนั้น
การที่นายกเทศมนตรีได้มอบอำนาจให้นาย ฉ. เทศมนตรี
เข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับห้างฯ
จึงเป็นการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘ ทวิ
เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางอ้อมเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร
(เรื่องเสร็จที่ ๕๙๖/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม)
๒.๒ การเป็นผู้ถือหุ้น –
สมาชิกสภาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด
นาย อ. (สมาชิกสภาเทศบาล)
ปรากฏจากหนังสือรับรองการจดทะเบียนห้างฯ ว่าเป็นผู้ถือหุ้นของห้างฯ
และถึงแม้ว่าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดก็ตาม
แต่การมีส่วนได้ส่วนเสียก็มิได้ต่างจากหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด เพราะตาม
ป.ป.พ. มาตรา ๑๐๘๔ (๒) และมาตรา ๑๐๘๐ (๓) นั้น
หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดก็ยังได้ผลประโยชน์จากผลกำไรซึ่งห้างหุ้นส่วนทำมาค้าอยู่ได้
เว้นแต่ห้างหุ้นส่วนยังขาดทุนอยู่
จึงเป็นสมาชิกที่มีส่วนได้เสียกับห้างฯ
(เรื่องเสร็จที่ ๕๙๖/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม)
๒.๓ ไม่มีสถานีบริการน้ำมันใกล้เคียง
ข้อเท็จจริงที่ว่าในบริเวณรัศมี ๑๐
กิโลเมตร มีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. เพียงแห่งเดียว
และการซื้อน้ำมันนี้ได้กระทำมาตั้งแต่เทศบาลยังเป็นสุขาภิบาลอยู่
ซึ่งจังหวัดมีความเห็นว่าบุคคลทั้งสองมิได้มีเจตนาต้องการผลประโยชน์จาก
เทศบาลตำบลแจ้ห่ม และมิได้ระวังว่าตนเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
เมื่อดำเนินการแก้ไขแล้วน่าจะยังคงมีสมาชิกภาพต่อไปนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่
๑) เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ
ประสงค์ที่จะห้ามสมาชิกเข้ามามีประโยชน์ได้เสียกับเทศบาลในขณะดำรงตำแหน่ง
สมาชิกอยู่ เพื่อให้สมาชิกทำหน้าที่รักษาประโยชน์ของเทศบาลอย่างเที่ยงธรรม
โดยไม่ประสงค์จะให้สมาชิกได้ประโยชน์ใด ๆ
จากการเข้าทำสัญญาหรือทำกิจการใดจากเทศบาลไม่ว่าโดยตนเองหรือโดยผ่านทางผู้
อื่นในขณะดำรงตำแหน่ง และมิได้คำนึงว่าจะต้องการผลประโยชน์จากเทศบาลหรือไม่
ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้
และไม่ทำให้การกระทำที่มีส่วนได้เสียไปแล้วกลับกลายเป็นการกระทำที่ชอบขึ้น มาได้
(เรื่องเสร็จที่ ๕๙๖/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม)
๒.๔ นายกเทศมนตรี เป็นกรรมการบริษัทฯ
นาย ก. นายกเทศมนตรี
เป็นกรรมการบริษัทฯ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเทศบาลเมืองได้ทำบันทึกตกลงซื้อขาย
เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ ซื้อรถจักรยานยนต์ของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ
ได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์และได้มีการชำระเงินให้แก่บริษัทฯ เรียบร้อยแล้ว
จึงเห็นได้ว่าการซื้อขายรถจักรยานยนต์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว และนายก.
ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
การที่ในภายหลังบริษัทฯ
ได้ขอยกเลิกสัญญาและคืนเงินให้แก่เทศบาลเมืองย่อมไม่มีผลต่อความสมบูรณ์ของสัญญาแต่อย่างใด
และไม่ทำให้การกระทำอันไม่ชอบตามที่บัญญัติห้ามไว้ในมาตรา ๑๘ ทวิ ของนาย ก. กลับกลายเป็นการชอบขึ้นมาได้
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๕ บริษัทฯ เป็นศูนย์รถยนต์ฯ
เพียงแห่งเดียว
นาย ก. นายกเทศมนตรี
เป็นกรรมการบริษัทฯ
ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเทศบาลเมืองได้ขออนุมัติจ้างเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๓ เพื่อให้บริษัทฯ ตรวจเช็คสภาพรถยนต์
และมีหลักฐานการรับเงินจากเทศบาลเมืองลงวันที่
๗ เมษายน ๒๕๔๓
ทั้งมีหลักฐานเป็นใบตรวจรับพัสดุลงวันที่
๒๗ มีนาคม ๒๕๔๓
ว่าบริษัท ฯ ได้นำส่งสินค้าและกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับแล้ว จึงแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ
ได้กระทำกิจการให้แก่เทศบาลเมืองแล้ว
และถือได้ว่านาย ก. ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทฯ
เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในกิจการที่บริษัทฯ
กระทำให้แก่เทศบาลเมือง ความจำเป็นที่บริษัทฯ เป็นศูนย์รถยนต์ฯ
เพียงแห่งเดียวในจังหวัดหาเป็นเหตุให้เกิดสิทธิที่จะฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา ๑๘ ทวิ
ไม่
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๖ เทศมนตรี
เป็นผู้จัดการและเจ้าของโรงพิมพ์
นาย ส. เทศมนตรี
เป็นผู้จัดการและเจ้าของโรงพิมพ์
ศ.ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเทศบาลเมืองได้มีการอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๓
และเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ให้จัดจ้างโรงพิมพ์ ศ. หนังสือพิมพ์เทศบาลประจำเดือนเมษายน ๒๕๔๓ และพฤษภาคม
๒๕๔๓ แม้ว่าจังหวัดจะได้วินิจฉัยว่ามิได้มีการทำบันทึกตกลงซื้อขายหรือสัญญาระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง
คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมขัดต่อความเป็นจริง
เพราะปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการจ่ายและรับเงินค่าจ้างพิมพ์หนังสือพิมพ์เทศบาลจากเทศบาลเมือง
และมีการตรวจรับหนังสือพิมพ์เทศบาลแล้ว
จึงแสดงให้เห็นว่าโรงพิมพ์ ศ.ได้ทำสัญญาหรือกิจการให้แก่เทศบาลเมืองแล้ว
นาย ส. ซึ่งเป็นเทศมนตรี เจ้าของและผู้จัดการโรงพิมพ์ ศ.
ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมจากการรับพิมพ์หนังสือพิมพ์ให้แก่เทศบาล
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๗
ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีผู้ถือหุ้นเพียงสองคน
นาย ส. เทศมนตรี
เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.
มีผู้ถือหุ้นเพียง ๒ คน คือ นาย ส. และนาง พ. โดยมีนาง พ. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อนายสมชายฯ มีหนังสือลงวันที่ ๒๙ มกราคม
๒๕๔๓ ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน จึงมีผลทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ก.เหลือผู้ถือหุ้นเพียง ๑ คน เท่านั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.
จึงไม่อาจคงสภาพการเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดได้อีกต่อไป และมีผลเป็นการเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยปริยาย
แต่ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ยังคงดำเนินกิจการในฐานะห้างหุ้นส่วนจำกัด
โดยได้ทำบันทึกตกลงซื้อขายกับเทศบาลเมืองกำแพงเพชร จำนวน ๔ สัญญา ทั้งนาย ส.
ซึ่งต้องรู้ถึงเหตุที่ห้างหุ้นส่วน ก.
มีอันที่จะต้องเลิกห้างหุ้นส่วนก็ได้ดำเนินการในนามของเทศบาลลงนามในฐานะผู้ซื้อในบันทึกตกลงซื้อขายระหว่างเทศบาล
กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ตามบันทึกตกลงซื้อขายลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ฉบับลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๓ และฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๓ รวม ๓
ฉบับ ด้วย อันแสดงให้เห็นว่าการลาออกของนายสมชายฯ มิได้ลาออกจริง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.
จึงสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยมิได้มีผู้เป็นหุ้นส่วนใหม่เข้ามาแทนที่หรือเลิกห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด
พฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่านายสมชายฯ
ยังคงเป็นหุ้นส่วนอยู่
และถือได้ว่ามีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัด
ก.
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๘ อำนาจสอบสวนของผู้ว่าราชการจังหวัด
มาตรา ๑๑ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๖
มีเจตนารมณ์ที่จะให้สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดผู้มีส่วนได้เสียกับ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดในระหว่างที่ตนเป็นสมาชิกอยู่จะต้องสิ้นสุดการเป็น
สมาชิกภาพลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรานี้ทันที นับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว
และหากมีข้อสงสัย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็ว
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการกำหนดไว้แตกต่างจากมาตรา ๑๑ (๕) แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อนที่จะมีการแก้ไขดังกล่าว
ดังนั้น โดยเจตนารมณ์ของการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
เพราะเหตุที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ตนเป็นสมาชิกนี้
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ในระหว่างที่สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดดำรงตำแหน่งอยู่มีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น
แม้ว่าต่อมาสมาชิกผู้นั้นจะพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดไปด้วยเหตุใดก็ตาม
ต้องถือว่าผู้นั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว
โดยหากมีข้อสงสัยผู้ว่าราชการจังหวัดก็สามารถที่จะสอบสวนและวินิจฉัย
เพื่อให้ได้ความว่าผู้นั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียจริงหรือไม่ ทั้งนี้
ไม่ว่าจะมีผู้ใดได้ร้องเรียนไว้แล้วหรือไม่
และผู้นั้นจะยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้นหรือพ้นจากตำแหน่งเพราะลาออก
หรือครบวาระการดำรงตำแหน่งไปก่อนที่จะมีการสอบสวนในเรื่องนี้ก็ตาม
หากสอบสวนได้ความว่าผู้นั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียแล้ว
ผู้นั้นย่อมสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยผลของกฎหมายนับแต่วันที่มีเหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
(เรื่องเสร็จที่ ๒๘๓/๒๕๔๘
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี)
๒.๙
กำหนดวันส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงตรงกับวันที่ได้รับเลือกตั้ง
สัญญาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปั๊มน้ำมันกับเทศบาลได้ทำไว้ก่อนที่นาย
ท. จะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล คือ ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕
แต่เมื่อในวันกำหนดส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ได้ทำสัญญาไว้นั้น
เป็นวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่นาย ท.
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล
ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาล
จึงมีผลให้นาย ท. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับเทศบาล แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าตั้งแต่วันที่
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นมา
ปั๊มน้ำมันมิได้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เทศบาลอีกแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕ นาย ท.
มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกสภาเทศบาล จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ได้ทำไว้กับเทศบาล
มีผลให้ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพตั้งแต่วันที่มีเหตุดังกล่าวเป็นต้นไป
(เรื่องเสร็จที่ ๒๖๒/๒๕๔๗
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การดำเนินกิจการของคณะเทศมนตรีภายหลังสมาชิกสภาเทศบาลลาออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี
และการมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล)
๒.๑๐ แจ้งขอจดทะเบียนลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน
แต่ลงนามในหนังสือส่งมอบงาน
ในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ ที่นาย ค.
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันดังกล่าวนั้น นาย
ค. ยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด อ.อยู่ โดยปรากฏหลักฐานเบื้องต้นว่า
มีการแจ้งขอจดทะเบียนลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. เมื่อวันที่ ๘
ตุลาคม ๒๕๔๕
แม้ต่อมาภายหลังจะได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ ๔
ตุลาคม ๒๕๔๕ อันเป็นวันก่อนวันเลือกตั้งก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า นาย ค.
ยังได้กระทำการในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว
โดยเป็นผู้ลงนามในหนังสือส่งมอบงานก่อสร้างถนนให้แก่เทศบาลตำบลหนองกี่เมื่อวันที่
๗ ตุลาคม ๒๕๔๕ ดังนั้น ในวันที่ ๕ ตุลาคม
๒๕๔๕ นาย ค. จึงยังคงเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. กรณีจึงถือได้ว่านาย ค. สมาชิกสภาเทศบาล
เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาลตามมาตรา ๑๘
ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ
ซึ่งมีผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๙ (๖) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ แล้ว
(เรื่องเสร็จที่ ๗๘/๒๕๔๗
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับเทศบาลตำบลหนองกี่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์)
๒.๑๑ ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
เพื่อสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๔
เทศบาลได้ทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ค. ให้ก่อสร้างสะพาน มีนาย ช.
หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ ลงนามในสัญญาดังกล่าว
โดยงานมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๔ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม
๒๕๔๔ นาย ช. ได้มีหนังสือถึงหุ้นส่วนในห้างฯ
ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล
ซึ่งนาย ช. ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๔ นาย ช.
จึงไปยื่นต่อนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสุโขทัย
เพื่อขอเปลี่ยนแปลงให้นาย ม. บิดาของนาย ช. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ แทน
ซึ่งนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒
บัญญัติให้การเปลี่ยนตัวผู้แทนนิติบุคคลมีผลต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งแล้ว สำหรับผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นมาตรา ๑๐๔๒
บัญญัติให้ความเกี่ยวพันระหว่างหุ้นส่วนผู้จัดการกับหุ้นส่วนอื่นเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยตัวแทน
ซึ่งเมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับมาตรา ๘๒๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘๒๗ วรรคหนึ่ง
เห็นได้ว่าหุ้นส่วนผู้จัดการสามารถลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนในเวลาใดๆ ก็ได้
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นาย ช. ได้แสดงเจตนาลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต่อหุ้นส่วนคนอื่นในวันที่
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔ จึงถือได้ว่าระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง การลาออกของนาย ช.
มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔
อย่างไรก็ตามการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องมีรายการเกี่ยวกับชื่อของหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นสำคัญตามมาตรา
๑๐๗๘ (๖)
ซึ่งเอกสารที่ลงทะเบียนไว้ดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่บุคคลทุกคนสามารถตรวจดูได้ตามมาตรา
๑๐๒๐
และเมื่อลงพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา ๑๐๒๑
แล้วถือได้ว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั่วไปตามมาตรา ๑๐๒๒ เมื่อใดที่รายการที่ได้จดทะเบียนไว้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็ต้องแก้ไขข้อความที่ได้จดทะเบียนไว้
ณ หอทะเบียนที่ได้จดทะเบียนไว้เดิมตามมาตรา ๑๐๑๖
เพื่อใช้เป็นหลักฐานให้บุคคลทั่วไปทราบถึงสถานะและผู้จัดการปัจจุบันของห้างฯ
และตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน นาย ช.
ยังคงต้องรับผิดชอบกับบุคคลภายนอกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๗๒
ความมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับเทศบาลจึงยังคงมีอยู่ นอกจากนั้นการที่นาย
ช. ลาออก และนาย ม. ซึ่งเป็นบิดาของนาย ช. เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทนตน
ความมีส่วนได้เสียของนาย ช. จึงยังคงมีอยู่เช่นเดิม แม้จะได้มีการจดทะเบียนการลาออกแล้วก็ตาม
ดังที่ได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในเรื่องการเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม
คณะกรรมการ กฤษฎีกา (คณะที่ ๑)
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า
การให้ความเห็นในเรื่องนี้เป็นการพิจารณาประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเป็นผู้มี
ส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ
ซึ่งมีเจตนารมณ์มิให้สมาชิกใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือขณะที่อยู่ในตำแหน่ง
หน้าที่นั้นมีประโยชน์ได้เสียอยู่กับเทศบาล
สมาชิกจึงมีหน้าที่ต้องกระทำด้วยประการทั้งปวงให้ปรากฏว่าตนมิได้มีประโยชน์
ได้เสียเกี่ยวข้องกับคู่สัญญาหรือการกระทำกับเทศบาลนั้นต่อไป ฉะนั้น
แม้เพียงการแสดงเจตนาจึงย่อมไม่เพียงพอ
เพราะตราบใดที่ยังไม่ดำเนินการแก้ไขทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายบุคคลภาย
นอกก็ย่อมอ้างอยู่ได้เสมอ
(เรื่องเสร็จที่ ๕๒๖/ ๒๕๔๕ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลหรือที่เทศบาลจะกระทำ
(กรณีเทศบาลตำบลบ้านโตนด และเทศบาลตำบลบ้านม่วง))
๒.๑๒
ขอซื้อเอกสารในการสอบราคาและยื่นเอกสารประกวดราคา
ห้างหุ้นส่วน จำกัด บ. มีนาย พ.
สมาชิกสภาเทศบาล
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ขอซื้อเอกสารในการสอบราคาและยื่นเอกสารประกวดราคา
กับเทศบาลที่นาย พ. ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลอยู่
การเข้ามีส่วนได้เสียตามมาตรา ๑๘ ทวิ ดังกล่าว
มีความหมายถึงการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดอาจจะได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์
หรือน่าจะได้ประโยชน์หรือน่าจะเสียประโยชน์ในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
หรือในกิจการที่มีผู้กระทำให้แก่เทศบาลหรือที่เทศบาลจะกระทำด้วย
โดยไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
การ ที่ห้างหุ้นส่วนที่มีนาย พ. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเข้าซื้อเอกสารในการสอบราคาและยื่นเสนอราคาโครงการ
จ้างเหมาก็เพื่อจะได้รับประโยชน์จากกิจการที่เทศบาลจะกระทำในโครงการจ้าง
เหมาก่อสร้าง ในทันทีที่นาย พ. เข้ายื่นซองประกวดราคา
การกระทำจึงเป็นการเข้ามีส่วนได้เสียในกิจการที่เทศบาลจะกระทำสมบูรณ์และ เป็นการต้องห้ามตามมาตรา
๑๘ ทวิ และมีผลทำให้สมาชิกภาพในฐานะสมาชิกสภาเทศบาลได้สิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๙ (๖)
แล้ว การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บ.ไม่ได้รับการคัดเลือกในการสอบราคาโครงการจ้างเหมาก่อสร้างรางระบายน้ำของ เทศบาลฯ
หามีผลทำให้สมาชิกภาพที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับฟื้นขึ้นใหม่ไม่
(เรื่องเสร็จที่ ๕๒๖/ ๒๕๔๕
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลหรือที่เทศบาลจะกระทำ (กรณีเทศบาลตำบลบ้านโตนด
และเทศบาลตำบลบ้านม่วง))
๒.๑๓
การวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ เป็นคำสั่งทางปกครองหรือไม่
การวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลงตามมาตรา
๑๘ ทวิแห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ เป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙
นาง ร.
ได้ยื่นหนังสือและเอกสารให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบเพิ่มเติม ถือว่านาง ร.
เป็นคู่กรณี
และการกระทำดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
หรือไม่นั้น เห็นว่า ผู้ที่จะเป็น “คู่กรณี”
ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ นั้น
จะต้องเป็นผู้ที่สิทธิของตนถูกกระทบกระเทือนหรืออาจถูกกระทบกระเทือนโดยมิ
อาจหลีกเลี่ยงได้ตามมาตรา ๒๑ ซึ่ง
การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีสอบสวนและวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ
สมาชิกสภาเทศบาลนครอุบลราชธานีที่ถูกร้องเรียนทั้งสี่คนไม่ได้สิ้นสุดลงนั้น
มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสภาเทศบาลที่ถูกร้องเรียน
เท่านั้น
มิได้มีผลกระทบต่อประชาชนหรือสมาชิกสภาเทศบาลอื่นรวมทั้งนาง ร. ดังนั้น
จึงไม่อาจถือว่านาง ร. เป็น “คู่กรณี” ที่จะอุทธรณ์คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีในเรื่องนี้ได้
การดำเนินการทั้งหลายของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจึงมิใช่เป็นการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองตามมาตรา
๔๕ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
(เรื่องเสร็จที่ ๔๒๘/๒๕๔๔
บันทึกคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่อง
การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙)
๒.๑๔
สัญญาเสร็จสิ้นแล้วก่อนดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี
นาย ป.
ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. ทำสัญญาจ้างงานกับเทศบาล
โดยดำเนินการตามสัญญาเสร็จสิ้นแล้วก่อนดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี
รวมทั้งปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นาย ป. ได้ลาออกจากหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่วันที่
๑๒ มกราคม ๒๕๔๗ และมีการแก้ไขทางทะเบียนก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง
ความเกี่ยวพันระหว่างนาย ป. กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. จึงสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ ๑๒
มกราคม ๒๕๔๗ กรณีจึงถือได้ว่านาย ป.
ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาล
ส่วนกรณีที่หุ้นส่วนจะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของสัญญาที่กำหนด
ระยะเวลาไว้สองปีนั้น เมื่อนาย ป. ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด
ป. แล้ว จึงไม่มีความเกี่ยวพันกับห้างหุ้นส่วนดังกล่าวที่จะต้องรับผิดในความชำรุด
บกพร่องตามสัญญาที่ทำไว้กับห้างหุ้นส่วนเป็นระยะเวลาสองปีนั้นอีก
สำหรับกรณีที่นาย ป.
จะต้องรับผิดชอบในระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่ตนลาออกจากห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
๑๐๖๘ เป็นความรับผิดตามกฎหมาย
ซึ่งเป็นคนละลักษณะกับความรับผิดในสัญญาที่ทำกับเทศบาลหรือกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลตามมาตรา
๔๘ จตุทศ (๓)
(เรื่องเสร็จที่ ๑๘/๒๕๔๘
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การมีส่วนได้เสียของนายกเทศมนตรีตำบลหนองแสง)
ที่มา นายธรรมนิตย์ สุมันตกุล
กรรมการร่างกฎหมายประจำ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (กันยายน ๒๕๔๘) ,http://web.krisdika.go.th/data/activity/act67.htm