ท่านผู้มีเกียรติครับ ก่อนอื่นจะต้องขอเรียนว่าผมรู้ส
แต่ว่าในทางกฎหมายอาญานั้น ผู้บริหารจะต้องรับผิดเป็นการส่
ถึงแม้ว่าบ้านเราจะมีการเปลี่ยน
สำหรับบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส
นิติบุคคลคงจะไปทำการสมรสกับใคร
เมื่อความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น
เมื่อพิจารณาถึงนิติบุคคลนั้นจร
แบบที่ 1 กฎหมายจะกำหนดไว้ว่า ถ้าเมื่อใดที่นิติบุคคลกระทำควา
แบบที่ 2 ถ้านิติบุคคลกระทำความผิดขึ้นมา
แบบที่ 3 ถ้านิติบุคคลทำความผิด ผู้บริหารจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่
แปลว่า โทษเท่ากัน โดยถือหลักว่า การกระทำความผิดอันนั้นเป็นเป็น
แบบที่ 1 ถ้าผู้บริหารสามารถพิสูจน์ได้ว่
แบบที่ 2 ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ได้
แบบที่ 3 ให้พิสูจน์ว่า ตนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระท
แต่ทั้ง 3 ลักษณะนั้น หน้าที่การพิสูจน์ก็อยู่ที่ผู้บ
แบบที่ 4 นั้น เป็นแนวทางใหม่ ที่เพิ่งจะกำหนดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ก็คือ กำหนดไว้เป็นองค์ประกอบของความผ
ในทั้ง 4 ลักษณะนี้ก็เป็นวิวัฒนาการของกฎ
ข้อร้องเรียนประการที่ 1 ก็คือ กฎหมายที่กำหนดให้นิติบุคคลกระท
ประการที่ 2 ที่เขาร้องเรียนกันหรือรู้สึกถึ
ประการที่ 3 ก็คือว่า ขบวนการในการดำเนินคดีอาญาของปร
ส่วนราชการจะรับผิดนั้นจะทำกันอ
แต่ว่าถ้าเมื่อไรศาลลงโทษนิติบุ
อย่างนี้ผมคิดว่าฝ่ายภาคเอกชนคง
กฎหมายบริษัทมหาชนเป็นเรื่องควา
แนวความคิดในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ก็มีอยู่ซึ่งผมคืดว่าอยากเสน อไว้ที่นี่ เพื่อที่ว่าจะได้ศึกษากันต่อไป และ อาจจะมีการรวมกำลังเพื่อไปผลักด ันให้มันเกิดขึ้นได้ในอนาคต แนวความคิดประการที่ 1 ก็คือ บทบาทของรัฐที่จะเข้ามาดูแลธุรกิจจเอกชนนี้ แต่เดิมเคยมีแนวความคิดว่า รัฐจะต้องเข้ามาควบคุมธุรกิจของ เอกชนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากไ ด้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรว ม ปกป้องประโยชน์ของรัฐปกป้องประโ ยชน์ของประชาชน ซึ่งต้องเลิกแนวความคิดนี้ ต้องเปลี่ยนทัศนคติของรัฐและเจ้ าหน้าที่ของรัฐ จากการควบคุมไปเป็นการกำกับดูแล คือปล่อยให้ธุรกิจเอกชนควบคุมกั นเอง แต่รัฐทำหน้าที่ผู้กำกับเช่น ออกกฎเกณฑ์วางระเบียบในแวดวงของ ธุรกิจเอกชนมากกว่าให้เข้าไปควบ คุม ซึ่งการเข้าไปควบคุมก็คือ การบังคับว่าใครจะทำธุรกิจในหน้ าที่ใด ในเรื่องใด ก็ต้องมาขออนุญาต นี่เป็นการบังคับกันตั้งแต่ตอนท ี่จะเริ่ม เอกชนยังมิได้เริ่มทำอะไรเลยเพี ยงแต่คิดว่าจะทำเช่นนั้น ใครจะไปทำอะไรต้องไปขออนุญาตควา มคิดเช่นนี้ต้องเลิก แต่ก็ต้องเรียนเสียก่อนนะครับว่ า ความคิดที่จะเลิกอย่างนี้ยาก ยากต่อการสร้างมากทีเดียว เพราะเวลาคนหนึ่งอยู่ในภาคเอกชน จะมองว่ารัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื ่องเหล่านี้ทำไม ทำไมต้องมาบังคับว่า จะต้องทำอย่างนี้ แต่คนๆ เดียวกันนั้นแหละครับถ้าเข้าไปอ ยู่ในแวดวงของรัฐ ความคิดเหล่านี้จะเปลี่ยนไป ความกล้าในการตัดสินใจจะเปลี่ยน ไป จะไม่กล้าทำผมประสบมาแล้ว ผมไม่เคยอยู่ในแวดวงธุรกิจ แต่ผมยึดมั่นว่ารัฐไม่ควรเข้ามา ควบคุมธุรกิจมากเกินไป แล้วก็ได้พยายามต่อสู้เพื่อชนะใ จคนที่มาจากแวดวงธุรกิจที่เข้าไ ปเป็นรัฐบาล ให้ยกเลิกเสียเถอะ เรื่องนั้นเรื่องนี้สามารถเลิกไ ด้ แต่เมื่อคนนั้นไปเป็นรัฐมนตรีกร ะทรวง นั้น เขาไม่ทำ เขาไม่กล้าทำ และสู้กันแทบเป็นแทบตาย บางทีก็สำเร็จ บางทีก็ไม่สำเร็จ ที่สำเร็จออกมาก็อย่างเช่น กฎหมายโรงงานนี่สำเร็จ
ใน สมัยก่อนใครจะตั้งโรงงาน ถ้า 2 แรงม้า 7 แรงคนก็ต้องขออนุญาต เดี๋ยวนี้ไม่ต้องครับ เดี๋ยวนี้เขาแยกโรงงานเป็น 3 ประเภท ถ้าเป็นโรงงานประเภทใหญ่ที่จะกระทบกระเทือนต่อผู้คนมากมาย ยังจะต้องขออนุญาต ถ้าเป็นโรงงานประเภทเล็กนี้ทำไป ได้เลย แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่เขาทร าบ เขาจะได้รู้ว่าตกลงไปดูแลอย่างไ ร อย่างนี้มันก็ค่อยเบาขึ้น หรือกฎหมายควบคุมอาคาร แต่ก่อนนี้ใครจะสร้างบ้านหลังหน ึ่งก็ต้องไปขออนุญาต ต้องเอาแบบแปลนไปให้เขาดู ไม่ว่าคุณจะมีสถาปนิกชั้นยอดมาจ ากไหน คุณก็ต้องไปหา กทม. เพื่อไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจแบบแป ลนอันนั้นแล้วก็จะนั่งตรวจเป็นเ วลา 6 เดือนเป็นอย่างช้ารู้ว่าเขาทำอะ ไรออกมา ในที่สุดมันก็เกิดข้อครหาอย่างน ี้ไม่ได้หรือถ้าสถาปนิกเขามัใบอ นุ ญาตได้เซ็น รับรองว่าถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักวิชาการแล้ว เขาไม่ต้องขออนุญาตทำไปเลย แต่เมื่อไรผิด สถาปนิกคนนั้นจะถูกเพิกถอนใบอนุ ญาต ก็ตกลงกัน ในที่สุดก็ออกกฎหมายอันนั้นออกม าได้ แต่หลายเรื่องออกไม่ได้ เช่นเรื่องที่เจ้ากระทรวงเขาหวง อำนาจนี้ออกไม่ได้ บางทีเขานึกไม่ถึงว่าอำนาจรัฐนี ้เมื่อเราอยู่ในรัฐ มันดูเรียบร้อยไม่ยุ่งยากอะไร หากแต่เมื่อไรเราออกมาอยู่ข้างน อก ความเรียบร้อยไม่ยุ่งยากของรัฐน ี้ มันเป็นอุปสรรคความขัดข้องของเอ กชนเสมอ ดังนั้นแนวความคิดอันนี้จะต้องช ่วย กันสร้างให้มากๆ ทำให้ทุกคนยอมรับว่า ถึงแม้รัฐจะถูกลดบทบาท ในเรื่องการควบคุมแล้ว ก็ไม่เกิดพิษเกิดภัย หรือเกิดอันตรายแต่อย่างไร
ถ้าเรามีกฎเกณฑ์ในการดำเนินธุรกิจอย่างดีพอ และทุกคนยอมรับรู้ถึงภาระหน้าที ่ของแต่ละฝ่าย แนวทางแก้ไขประการที่ 2 คือ การปรับระดับโทษให้มันถูกต้องให ้มันเหมาะสม เวลานี้โทษทางกฎหมาย ทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างจะไม่แน่น อนขึ้นๆ ลงๆ สุดแต่ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องรุ นแรงก็ได้ โทษที่หนักๆ เรื่องไหนที่เขาลืมกันไปแล้วโทษ ก็ยังเบาๆ อยู่ ถึงแม้ว่าความผิดจะมีลักษณะที่ร ้ายแรง เช่น โทษที่เกี่ยวกับความผิดเรื่องสภ าวะแวดล้อมนี้ เป็นกฎหมายเก่าแล้วโทษก็ค่อนข้า งจะเบามากๆ ที่นี้ในการปรับระดับโทษให้ได้ม าตรฐานจะต้องแยกแยะลักษณะของควา มผิดออกให้ ชัดเจน ว่าอะไรเป็นความผิดหลัก อะไรเป็นความผิดอุปกรณ์ อะไรที่เป็นความผิดหลักจะลงโทษอ ย่างไร ก็คงโทษไปให้ได้มาตรฐานของระดับ โทษที่ได้กำหนดเอาไว้ แต่ถ้าเป็นความผิดฐานอุปกรณ์ โทษต้องลดหลั่นลงมาอย่าไปรวมกัน ไว้เป็นอย่างเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ว่า ไม่ว่าคุณทำกระดาษหายไป หรือทำตึกถล่มไปทั้งหลังก็โทษเท ่ากัน อย่างนี้ก็ทำให้คนรับโทษไม่เกิด ความรู้สึกว่าตนเองได้รับความยุ ติธรรม แต่ว่ามาถึงคราวนี้ก็มีปัญหาเหม ือนกันว่า เวลาที่เกิดคดีของภาคเอกชนกับภา ครัฐนั้น มองว่าอะไรเป็นโทษหลัก อะไรเป็นโทษอุปกรณ์แตกต่างกัน และความหนักเบาของความผิดนั้นก็ มองแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น อย่างกฎหมายว่าด้วยการค้ากำไรเก ินควรนี้ ก็มีบทบัญญัติบอกว่า เมื่อไรที่เขาควบคุมกำกับสินค้า ชนิดหนึ่งแล้วนี้ก็ต้องบอกรายละ เอียดของ สินค้านั้น ตั้งแต่ว่าสถานที่อยู่ของสินค้า จำนวนสินค้า ต้นทุนการผลิต ความเคลื่อนไหวของสินค้าต่างๆ เหล่านั้น ต้องทำบัญชีเป็นระยะตามที่เจ้าห น้าที่ตามกฎหมายกำหนดจะเป็นภายใ น 1 เดือน หรือภายใน 2 เดือนก็แล้วแต่ทางเอกชนก็ดูว่า การแจ้งบัญชีแล้ว ตัวสินค้านั้นๆ เป็นเรื่องเล็ก ประชุมกรรมการบริษัทก็ดีผู้จัดก ารบริษัทนี้ เขาไม่สนใจอะไรเลย เขาให้เจ้าหน้าที่ดูแล ก็แตกต่างขาดตกบกพร่องเป็นเรื่อ งธรรมดาไม่ควรจะไปลงโทษ แต่ทางเจ้าหน้าที่ของรัฐมองว่า ถ้าควบคุมตรงนี้ไม่ได้แล้ว การควบคุมการค้ากำไรเกินควรหรือ การผูกขาดตัดตอนนี้ ก็จะไม่เกิดผลเลย เพราะไม่มีทางที่จะตรวจสอบว่าสิ นค้านั้นๆ มีต้นทุนอย่างไร แล้วที่หายไปไหนถูกกักตุนไว้อย่ างไร ก็เป็นความผิดหลัก แต่ภาคเอกชนบอกว่า เป็นความผิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น