2.ในทางปฏิบัติหน้าที่ราชการ ข้าราชการผู้นั้นจะต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีอย่างเต็มความสามารถ และอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการจะละทิ้ง หรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการไม่ได้
3.สำหรับคำว่า "ละทิ้ง" นั้น หมายความว่าไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ (ตัวไม่อยู่นั่นเอง) ส่วนคำว่า "ทอดทิ้ง"หมายความว่า ตัวมา ณ สถานที่ราชการแล้วแต่ไม่ลงมือทำงานในหน้าที่ของตน (ตัวอยู่ แต่ไม่ทำงานตามหน้าที่) นอกจากนั้น ในการกระทำเกี่ยวกับการละทิ้งหรือทอดทิ้งนั้นมีทั้งที่เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงและอย่างร้ายแรง
4.สำหรับการกระทำผิดวินัยกรณีละทิ้งหน้าที่ราชการอย่างร้ายแรงนั้น มีทั้งที่ละทิ้งเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ผลที่เกิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เช่น ละทิ้งหน้าที่เวรยามดูแลสถานที่ราชการแล้วเกิดไฟไหม้สถานที่ราชการ กับกรณีละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ
5.ประเด็นปัญหาครั้งนี้คือ ผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ข้าราชการรายหนึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ยังอีกสำนักหนึ่งโดยชอบแล้ว แต่ผู้นี้ไม่ยอมไปปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรง จึงได้ลงโทษออกจากราชการฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ตามมาตรา 88 วรรคสองแห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535
6.ข้าราชการรายนี้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษแล้ว องค์กรบริหารงานบุคคลกลางได้รายงานผลการพิจารณาอุทธรณ์มายังนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่า นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วย จึงแจ้งให้พิจารณาทบทวน แต่องค์กรฯนั้นยืนยันความเห็นเดิม จึงต้องนำเสนออนุมัติคณะรัฐมนตรี
7.คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีมติ ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ว่า กรณีเรื่องนี้ถือเป็นกรณีละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการตามมาตรา 92 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ด้วย (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2548 ตามหนังสือสำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ นร 0504/ว 203 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548)
8.ก็เป็นแนวทางที่คณะรัฐมนตรีให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่ใช้บังคับตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนปฏิบัติตามครับ.....ก็นำมาบอกกันก่อนลืมครับ
เครดิต : ปฏิรูป , คอลัมน์: ราชการแนวหน้า: การย้ายกับการละทิ้งหน้าที่ราชการ , หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 00:00:03 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น