1 ก.ค. 2562

ผอ.ช่างเทศบาล ถูกปลดออกจากราชการ เพราะเอื้อประโยชน์ผู้รับจ้าง

เรื่องนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานเทศบาลสามัญ ตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักการช่าง ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจการจ้างโครงการก่อสร้างถนน โดยเมื่อผู้รับจ้างส่งมอบงานงวดสุดท้าย ผู้ควบคุมงานได้มีหนังสือถึงประธานกรรมการตรวจการจ้างว่า ผู้รับจ้างทํางานไม่ครบตามประมาณการที่กําหนดในสัญญาเพราะไม่มีพื้นที่ให้ทํา ได้แก่ บ่อพัก คสล. 7 บ่อ และงานเครื่องหมายจราจรบนผิวทางที่ทาสีไม่ครบตามปริมาณพื้นที่ที่ตกลงในสัญญา เนื่องจากวิศวกรโครงการได้คํานวณพื้นที่การทํางานผิดพลาดไปจากพื้นที่จริงซึ่งมีน้อยกว่าจากที่คํานวณไว้ ในการจ่ายเงินแก่ผู้รับจ้างจึงควรหักเงินในส่วนที่ไม่ได้ทําจริงออก

ในการประชุม คณะกรรมการตรวจการจ้างส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรหักเงินค่าจ้างตามที่ผู้ควบคุมงานเสนอ แต่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าควรหักเงินเฉพาะในส่วนของบ่อพัก คสล. 7 บ่อ เท่านั้น ส่วนการทาสีเครื่องหมายจราจรบนผิวทางต้องจ่ายตามสัญญาเพราะเป็นงานเหมารวม โดยผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงนายกเทศมนตรีเสนอให้มีการตรวจรับงานดังกล่าว โดยไม่ผ่านประธานกรรมการตรวจการจ้างก่อน

จากนั้นนายกเทศมนตรีได้อนุมัติให้จ่ายเงินแก่ผู้รับจ้างตามความเห็นของผู้ฟ้องคดี ต่อมามีการร้องเรียนว่าผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบช่วยผู้รับเหมา จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง สรุปว่าพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการและกระทําการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เป็นเหตุให้ทางราชการเสียหายอย่างร้ายแรง ควรลงโทษปลดออกจากราชการ

นายกเทศมนตรีจึงมีคําสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ซึ่งต่อมาคณะกรรมการพนักงานเทศบาล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) มีมติให้ยกคําอุทธรณ์ผู้ฟ้องคดีจึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง

กรณีนี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า นายกเทศมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มีอํานาจตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และเมื่อกรณีมีมูลตามที่ถูกกล่าวหาจึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง อันเป็นการดําเนินการตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกําหนดไว้
คดีมีประเด็นที่พิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดีได้กระทําความผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่และพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่?
แม้ว่าเอกสารประกวดราคาและสัญญาจ้างจะเป็นสัญญาแบบเหมารวมก็ตาม แต่ตามหนังสือของผู้ควบคุมงานที่ได้แจ้งว่ามีปริมาณการตีเส้นจราจรจริงไม่ถึงตามที่กําหนดในสัญญา ซึ่งการประมาณราคาค่าจ้างคิดตามปริมาณงานที่ทําจริงโดยมีการกําหนดจํานวนที่แน่ชัดเป็นตารางเมตร ดังนั้น การคํานวณค่าใช้จ่ายจึงต้องขึ้นอยู่กับปริมาณงานว่ามีเท่าใด เมื่อช่างผู้ควบคุมงานได้รายงานปัญหาดังกล่าวแล้ว กรณีเช่นนี้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นกรรมการตรวจการจ้างและเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการออกแบบ บริหารการก่อสร้าง การผังเมืองและการโยธา ก็ย่อมต้องรู้ว่าควรหักเงินค่าเนื้องานที่ไม่ได้ทาสีตีเส้นจราจรให้ครบออก และแม้ว่าการคํานวณเนื้อที่การทาสีจราจรผิดพลาด (มาแต่ต้นขณะทําสัญญา) จะเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการออกแบบโครงการ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ฟ้องคดีจะย้ายมาดํารงตําแหน่งที่เทศบาลดังกล่าวก็ตาม ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่อาจกล่าวอ้างความผิดพลาดดังกล่าวให้ตนพ้นจากภาระหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการได้
การที่ผู้ฟ้องคดียืนยันให้คิดค่างานแบบเหมารวม โดยมีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยตรง ทั้งที่ควรเสนอผ่านประธานกรรมการตรวจการจ้างก่อน การกระทําของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการจงใจกระทําการข้ามชั้นการบังคับบัญชา และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีมีการชักจูงผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างให้เห็นคล้อยตามตน ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีจงใจกระทําโดยมีพฤติการณ์ที่เอื้อประโยชน์แก่ผู้รับจ้าง โดยไม่ได้ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการตามหน้าที่ ทําให้เทศบาลต้องจ่ายเงินเป็นจํานวนมากให้ผู้รับจ้างไปโดยไม่สมควรพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง คําสั่งลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจตามความเหมาะสมแก่กรณีที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่อ.71/2559)
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักในการคิดคํานวณการจ่ายเงินค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างกรณีไม่อาจทํางานตามสัญญา แม้ว่าสัญญาจะกําหนดให้จ่ายแบบ “เหมารวม” จะต้องพิจารณาจากปริมาณการทํางานจริงเป็นสําคัญ รวมทั้งการเสนอความเห็นในฐานะกรรมการตรวจการจ้างจะต้องเสนอผ่านประธานกรรมการตรวจการจ้าง การเสนอต่อผู้มีอํานาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้างหรือผู้มีอํานาจอนุมัติจ่ายเงินตามสัญญาถือเป็นการกระทําการข้ามชั้นผู้บังคับบัญชา ทั้งในการเป็นกรรมการตรวจการจ้างที่มีความเชี่ยวชาญในงานย่อมสามารถรักษาประโยชน์ของทางราชการได้ดีการเสนอความเห็นให้จ่ายเงินแก่ผู้รับจ้างโดยไม่หักส่วนที่ไม่ได้ทํางานจริงออก และยังชักจูงกรรมการอื่นให้เห็นคล้อยตามตน ถือเป็นการจงใจเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับจ้างทําให้หน่วยงานเสียหาย เป็นการกระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ที่มาโดย ธัญธร ปังประเสริฐ พนักงานคดีปกครองชํานาญการพิเศษ , สํานักวิจัยและวิชาการ สํานักงานศาลปกครอง , (หนังสือพิมพ์อปท.นิวส์คอลัมน์ “ก้าวสู่สังคมธรรมาภิบาลกับศาลปกครอง”)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ... จ่ายตามฐานะไม่ได้ !

คดีปกครองที่นำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยพิบัติจากฝนตกหนักและลมพัดแรงทำให้หลังคาบ้านเ...