คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ของผู้ที่ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เพียงเพราะความโลภอยากได้เงิน สุดท้ายจึงต้องถูกไล่ออกจากราชการ ลองมาดูรายละเอียดบทเรียนที่ต้องจดจําในคดีนี้กัน...
เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งพัฒนาการจังหวัด (เจ้าหน้าที่บริหารงานพัฒนาชุมชน 8) ปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ช่วยเหลือทางวิชาการพัฒนาชุมชนที่ 4 สังกัดกรมพัฒนาชุมชน ถูกร้องเรียนว่า ได้กระทําการทุจริตในการจัดซื้อชุดนักเรียนจากโครงการพัฒนาเด็กและครอบครัว ซี.ซี.เอฟ. ปีงบประมาณ 2540 เป็นเงิน 100,000 บาท กล่าวคือ มีการเบิกเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวโดยไม่ได้จัดซื้อชุดนักเรียนจริง แต่หลังจากที่มีการร้องเรียนเกิดขึ้น ผู้ฟ้องคดีก็ได้จัดซื้อชุดนักเรียนไปมอบให้กับนักเรียนตามโครงการดังกล่าว และได้จัดทําเอกสารการจัดซื้อและใบตรวจรับพัสดุเท็จเพื่อปกปิดความผิดของตน
ต่อมา ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยผู้ฟ้องคดี ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีใช้อํานาจในฐานะผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทําเอกสารเท็จแล้วเบิกเงินไปใช้ ส่วนตัว เป็นการกระทําซึ่งอาศัยอํานาจหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์โดยมิชอบ แม้เงินที่ผู้ฟ้องคดีรับไปจะเป็นเงินของมูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ. ไม่ใช่เงินของทางราชการ แต่การกระทําของผู้ฟ้องคดีในฐานะหัวหน้าส่วนราชการได้กระทําการฝ่าฝืนระเบียบของทางราชการโดยมุ่งแสวงหาประโยชน์ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นการกระทําความผิดวินัยฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ และเป็นการกระทําอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
แต่ อ.ก.พ.กระทรวงมหาดไทย เห็นว่า การกระทําของผู้ฟ้องคดีเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 82 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง) จึงมีมติลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนจึงมีคําสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ผู้ฟ้องคดีนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองว่า การกระทําของผู้ฟ้องคดีไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เพราะเป็นการกระทําโดยส่วนตัว และเงินที่เบิกมานั้นก็เป็นเงินของมูลนิธิฯ ซึ่งไม่ใช่เงินงบประมาณแผ่นดิน แต่หากจะ ถือว่าการกระทําดังกล่าวเป็นความผิดฐานเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผู้ฟ้องคดีก็ได้ประกอบคุณงามความดีในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ จึงมีเหตุอันควรปรานีที่จะได้รับการลดหย่อนโทษ นอกจากนี้ผู้ฟ้องคดีได้ดําเนินการจัดซื้อและส่งมอบชุดนักเรียนตามโครงการดังกล่าวอย่างครบถ้วนแล้ว แม้จะล่าช้าไปบ้าง จึงขอให้ศาลเพิกถอนคําสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการดังกล่าว
กรณีนี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า จากการรับฟังพยานเอกสารและพยานบุคคลมีความสอดคล้องเป็นเหตุเป็นผลกัน ว่า ผู้ฟ้องคดีได้กระทําการทุจริตในการจัดซื้อชุดนักเรียนตามโครงการดังกล่าว โดยใช้อํานาจในฐานะผู้บังคับบัญชาสั่งการให้มีการจัดทําหลักฐานอันเป็นเท็จ (จัดทําเอกสารการจัดซื้อที่เป็นเท็จและมีการลงชื่อในใบตรวจรับพัสดุโดยไม่มีพัสดุจริง) การกระทําของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ที่มิควรได้ ย่อมเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ได้บัญญัติว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงตํ่ากว่าปลดออก ซึ่งเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาที่จะสั่งลงโทษสถานหนึ่งสถานใดดังกล่าวตามที่เห็นสมควร เมื่อพฤติการณ์และการกระทําของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการและไม่มี เหตุอันควรอื่นใดที่จะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษได้ การที่อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่อยู่ในกรอบที่กฎหมายกําหนด และได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยคํานึงถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ตลอดจนความเหมาะสมและมาตรฐานการลงโทษแล้ว ซึ่งการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ คณะรัฐมนตรีได้มีมติกําหนดแนวทางการลงโทษตามหนังสือที่ นร 0205/ว 234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 กําหนดให้ลงโทษ ผู้กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการโดยไล่ออกจากราชการ และการที่นําเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืนไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษลงเป็นปลดออก เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งเป็นหัวหน้าส่วนราชการจึงต้องประพฤติให้เป็นแบบอย่างที่ดี และมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ แต่กลับอาศัยอํานาจหน้าที่ราชการแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง ดังนั้นคําสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิพากษายกฟ้ อง (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.450/2554)
คดีนี้นอกจากจะเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการที่ดีว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตเงินไม่ว่าจะเป็น เงินงบประมาณของราชการหรือเงินที่ได้มาจากการบริจาคตามโครงการใดๆ ก็ตาม หากภายหลังกลับใจนําเงินมาคืนให้กับรัฐ เพราะถูกร้องเรียนหรือเพราะเหตุใดๆ ก็ตาม ไม่เป็นเหตุอันควรลดหย่อนโทษแต่อย่างใดแล้ว ยังเป็นบทเรียนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรจะต้องจดจําและหลีกเลี่ยงไม่ประพฤติปฏิบัติเพื่อมิให้เกิดบทเรียนในลักษณะเช่นนี้ซํ้าแล้วซํ้าอีกครับ !
เครดิต นายปกครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น