4 ก.ค. 2559

“ความเป็นกลาง” ของกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด

                 พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้กำหนด หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการชดใช้ค่าเสียหายในความรับผิดทางละเมิดโดยกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับผู้ต้องรับผิดและจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ผู้นั้นต้องชดใช้ แต่กฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ “ความเป็นกลาง” ของกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองไว้เป็นการเฉพาะ จึงต้องนำพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาปรับใช้กับกรณีดังกล่าวนี้ โดยมาตรา ๑๓ เป็นเรื่องที่บุคคลดังกล่าวมีความสัมพันธ์ส่วนตัว กับคู่กรณี อันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองมีอคติหรือความลำเอียง และมาตรา ๑๖ เป็นพฤติการณ์อื่น ซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจจะทำให้การพิจารณาทางปกครองนั้นไม่เป็นกลาง

                 กรณีที่กรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดคนหนึ่งเคยเป็นกรรมการตรวจ การจ้างคณะเดียวกับผู้ที่ถูกสอบสวน และมีความเห็นว่าไม่ตรวจรับการจ้าง และอีกคนหนึ่งเคยเป็น ผู้ควบคุมการก่อสร้างและเป็นผู้รายงานว่าผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา ถือว่าเป็นกรรมการที่ต้องห้าม ตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือไม่ ?

                 และกรณีที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดได้นำข้อมูลการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่คณะกรรมการชุดอื่นได้เคยดำเนินการไว้มาพิจารณา จึงไม่ได้ให้โอกาสผู้ถูกสอบสวนชี้แจงและโต้แย้ง แสดงพยานหลักฐาน จะถือว่ากระบวนการสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ ?

                 คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๒๑/๒๕๕๔ ได้พิจารณาถึงลักษณะดังกล่าวและ วางแนวทางในการพิจารณาคดี ดังนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (องค์การบริหารส่วนตำบล) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเพื่อหาผู้ต้องรับผิดและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีการดำเนินการก่อสร้างถนนที่ไม่ถูกต้องตามแบบแปลนสัญญาและข้อกำหนด โดยคณะกรรมการดังกล่าวได้ดำเนินการสอบข้อเท็จจริง โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดอื่น และได้จัดทำรายงานเสนอความเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีได้ตรวจรับงานโดยไม่ถูกต้องจึงต้องรับผิดชดใช้เงินคืนให้แก่ทางราชการ แต่ผู้ฟ้องคดี เห็นว่าการแต่งตั้งกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงเป็นกรรมการตรวจรับพัสดุร่วมกับผู้ฟ้องคดี และเป็นผู้รายงานว่า ผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ผู้ฟ้องคดีเป็นกรรมการตรวจรับ จึงยื่นฟ้องคดีต่อศาลขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งกรรมการดังกล่าว

                 ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ประกอบด้วย นาย ส. เป็นประธานกรรมการ นาย ช. เป็นกรรมการ และนาย ก. เป็นกรรมการและ เลขานุการ แต่ปรากฏว่า นาย ช. เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างและเป็นผู้รายงานว่าผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา และ นาย ก. เป็นกรรมการตรวจการจ้างคณะเดียวกับผู้ฟ้องคดีและเป็นผู้มีความเห็นแย้งไม่ตรวจรับงาน ดังกล่าว อันเป็นความเห็นที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับความเห็นของผู้ฟ้องคดีที่ตรวจรับการจ้าง จึงเป็นกรณีที่คณะกรรมการที่มีอำนาจในการพิจารณาทางปกครองมีเหตุซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง และไม่ปรากฏว่า บุคคลทั้งสองหยุดการพิจารณาและแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบแต่อย่างใด ดังนั้น นาย ช. และนาย ก. จึงต้องห้ามมิให้พิจารณาทางปกครองในเรื่องดังกล่าวนี้

                 ทั้งกรณีนี้ไม่ใช่กรณีที่จะได้รับการยกเว้นตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เนื่องจากการดำเนินการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดมิใช่เป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะหรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขได้ และไม่ใช่กรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนผู้นั้นได้ เพราะตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้อ ๘ กำหนดให้แต่งตั้งจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยอื่นได้ตามที่เห็นสมควร ประกอบกับหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นตามหนังสือ กระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ได้กำหนดให้องค์การบริหารส่วนตำบลแต่งตั้ง ปลัดอำเภอผู้ประสานงานประจำตำบลร่วมเป็นกรรมการด้วย ดังนั้น แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะเหลือ เจ้าหน้าที่เพียงสองคน คือ นาย ช. และนาย ก. ก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นก็ได้เปิดช่องให้สามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นได้

                 นอกจากนี้ข้อ ๑๕ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติ เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้กำหนดให้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรับผิดทางละเมิดจะต้องให้โอกาสแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือผู้เสียหายได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนเองอย่างเพียงพอและเป็นธรรม การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดได้นำข้อมูลจากสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการชุดอื่นมาใช้ในการพิจารณา โดยสอบปากคำผู้ฟ้องคดีในฐานะพยานและมิได้มีการดำเนินการใดๆ ในการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีก และไม่ปรากฏว่าได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด อันเป็นเหตุ ให้คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นคำสั่งที่ออกโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ ที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น

                 คำพิพากษาศาลปกครองฉบับนี้ ได้อธิบายถึงลักษณะความเป็นกลางของเจ้าหน้าที่ ที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ซึ่งแม้ว่าพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ จะไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นกลางของกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไว้ ฝ่ายปกครองก็จะต้องถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กล่าวคือ หากกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเคยเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างหรือเคยเป็นกรรมการตรวจการจ้างร่วมกับคู่กรณี หรือเคยให้ความเห็นในลักษณะที่เป็นปฏิปักษ์กับความเห็นของคู่กรณีในเรื่องที่สอบสวน กรณีถือได้ว่ากรรมการดังกล่าวมีเหตุอันมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองนั้นไม่เป็นกลาง นอกจากนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักปฏิบัติราชการที่ดีเกี่ยวกับกระบวนการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดด้วยว่า การดำเนินการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดนั้นมิใช่เป็นกรณีเร่งด่วนและไม่ใช่กรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่แทน อันอาจจะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้ และในการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจะต้องให้โอกาสผู้ถูกสอบสวนได้ชี้แจงและโต้แย้งแสดงพยานหลักฐาน อันถือเป็นขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายเฉพาะได้กำหนดไว้

                 เครดิต นายณัฐพล ลือสิงหนาท , พนักงานคดีปกครองชำนาญการ , กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการและวารสาร, สำนักวิจัยและวิชาการ สำนักงานศาลปกครอง  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ... จ่ายตามฐานะไม่ได้ !

คดีปกครองที่นำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยพิบัติจากฝนตกหนักและลมพัดแรงทำให้หลังคาบ้านเ...