5 ก.ค. 2559

สมาชิก อบต. กับสิทธิฟ้องคดีเพื่อควบคุมการบริหารงานของนายก อบต.

                 
             พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ กำหนดอำนาจหน้าที่ของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลและสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไว้ว่า นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจหน้าที่ในการ 

                   (๑) กำหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล ข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ 

                   (๒) สั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับราชการขององค์การบริหารส่วนตำบล (มาตรา ๕๙) โดยมีสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบลตลอดจนการควบคุมการปฏิบัติงานของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย แผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล ข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ (มาตรา ๔๖) 

                   หน้าที่ในการจัดให้มีการก่อสร้างระบบประปาหมู่บ้านเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรภายในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลนับเป็นหน้าที่ประการหนึ่งที่กฎหมายกำหนดให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลในฐานะผู้บริหารมีอำนาจในการพิจารณาเพื่อสั่ง อนุญาต และอนุมัติเกี่ยวกับการดำเนินการในราชการดังกล่าวได้ เช่น การอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการดำเนินการเพื่อจัดหาผู้รับจ้างเข้ามาทำงานในกิจการอันเป็นไปตามขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนตำบล เป็นต้น แต่หากบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวเห็นว่า การดำเนินการของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายแล้ว กรณีเช่นนี้สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อเพิกถอนการกระทำที่เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ ? 

                   คดีปกครองในคอลัมน์ระเบียบกฎหมายที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่องค์การบริหารส่วนตำบลได้ออกประกาศเพื่อประมูลจัดจ้างโครงการก่อสร้างระบบประปาหมู่บ้านแบบผิวดินขนาดใหญ่และบริษัท บ. ชนะการประมูลในราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางเป็ นจำนวน ๕๗๓,๐๐๐ บาท แต่ต่อมาได้รับแจ้งจากหน่วยงานกำกับดูแลว่ามีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ สมควรให้ยกเลิกการประกวดราคา ผู้ถูกฟ้องคดี (นายกองค์การบริหารส่วนตำบล) จึงออกประกาศลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ ยกเลิกผลการประมูลจ้างโดยที่บริษัท บ. มิได้โต้แย้งแต่อย่างใด หลังจากนั้น ผู้ถูกฟ้ องคดีได้ออกประกาศเพื่อประมูลจัดจ้างโครงการดังกล่าวอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.ชนะการประมูลในราคา ๒,๕๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางเป็นจำนวน ๓,๐๐๐ บาท และได้มีการทำสัญญาจ้างกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว 

                   ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบซึ่งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล และในฐานะที่มีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารงานของผู้ถูกฟ้องคดี เห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีออกประกาศยกเลิกผลการประมูลจ้างเป็นผลให้องค์การบริหารส่วนตำบลต้องเสียประโยชน์จากส่วนต่างในการประมูลเป็นเงิน ๕๗๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นการใช้ดุลพินิจยกเลิกการประมูลราคาโดยไม่มีพยานหลักฐานและไม่มีเหตุผลอันสมควร อีกทั้ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่ได้ดำเนินการใด ๆ กับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ และการประมูลครั้งที่สองไม่มีการแข่งขันราคาอย่างถูกต้อง จึงยื่นฟ้ องคดีต่อศาลปกครองขอให้พิพากษาเพิกถอนประกาศดังกล่าว 

                   กรณีจึงมีประเด็นที่น่าสนใจว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสิบในคดีนี้ถือเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันจะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อควบคุมการใช้ดุลพินิจในการบริหารงานของผู้ถูกฟ้ องคดีในฐานะผู้บริหารได้หรือไม่ ? 

                   ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนดเงื่อนไขการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองว่า “ต้องเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ...” เมื่อผู้ฟ้ องคดีทั้งสิบเป็นบุคคลภายนอกมิได้เป็นผู้เข้าร่วมดำเนินการในการประมูลจัดจ้างโครงการก่อสร้างระบบประปาผิวดินขนาดใหญ่ตามประกาศขององค์การบริหารส่วนตำบล หรือมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับการประมูลครั้งดังกล่าว ประกอบกับไม่มีส่วนได้เสียในผลแห่งการประมูลจัดจ้างตามโครงการดังกล่าว แม้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบจะอ้างว่ามีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการบริหารงานของผู้ถูกฟ้องคดีและรักษาสิทธิประโยชน์ขององค์การบริหารส่วนตำบลตามที่กฎหมายกำหนด แต่กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท ๐๓๑๓.๑/ว.๘๓๑ ลงวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๕ เรื่อง ซักซ้อมมาตรการเกี่ยวกับการร้องเรียนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามมาตรา ๙๒ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยกำหนดว่า เมื่อปรากฏพฤติการณ์หรือมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ให้นายอำเภอดำเนินการตั้งกรรมการสอบสวนตามระเบียบและวิธีการตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น หากผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบล กรณีการออกประกาศยกเลิกผลการประมูลจ้างดังกล่าว ก็ชอบที่จะร้องเรียนต่อนายอำเภอหรือดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเสียก่อน ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายอันเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกฟ้ องคดี ที่จะสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อเพิกถอนประกาศยกเลิกผลการประมูลจ้างได้ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๔๗๗/๒๕๕๖) คดีนี้ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศยกเลิกผลการประมูลจ้าง และในชั้นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุดไม่มีคู่กรณีฝ่ ายใดยกประเด็นในเรื่องอำนาจฟ้ องขึ้นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด แต่ปัญหาว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือไม่ เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองสูงสุดสามารถยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาได้ตามข้อ ๙๒ แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ 

                   คดีนี้ศาลปกครองสูงสุด จึงพิพากษายกฟ้อง ดังนั้น ประเด็นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องคดีจึงถือเป็นประเด็นสำคัญในการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ที่แม้คู่กรณีจะมิได้มีการกล่าวอ้างศาลปกครองก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้บุคคลซึ่งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลนอกจากจะมีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญก้าวหน้าและรับฟังแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นในฐานะผู้แทนของประชาชนแล้ว หน้าที่ในด้านการควบคุมการบริหารงานของผู้บริหารก็นับเป็นหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่กฎหมายกำหนดขึ้นเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลให้การบริหารงานเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ไม่ใช่ว่าจะยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้โดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกรณีที่เกิดขึ้นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายแล้ว การดำเนินการของสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อควบคุมการบริหารงานก็ย่อมต้องเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้กำหนดกลไกในการดำเนินการไว้ ๔ ประการ ได้แก่ การรับทราบคำแถลงนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่น การตั้งกระทู้ถามการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไป และการตั้งคณะกรรมการสามัญและคณะกรรมการวิสามัญ และหากพบว่ามีการกระทำความผิดหรือกระทำโดยไม่ชอบกฎหมายต้องร้องเรียนต่อนายอำเภอเพื่อดำเนินการสอบสวนและเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อดำเนินการสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป 

                   เครดิต นายณัฐพล ลือสิงหนาท ,พนักงานคดีปกครองชำนาญการ , สำนักวิจัยและวิชาการ สำนักงานศาลปกครอง ,คอลัมน์ระเบียบกฎหมาย วารสารกำนันผู้ใหญ่บ้าน ฉบับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ... จ่ายตามฐานะไม่ได้ !

คดีปกครองที่นำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้ประสบภัยพิบัติจากฝนตกหนักและลมพัดแรงทำให้หลังคาบ้านเ...