ในการกระทําความผิดทางวินัยของข้าราชการ อาจมีหลายครั้งที่มักจะมีข้าราชการร่วมกระทําความผิดด้วยกันหลายคน และภายหลังจากที่มีการสอบสวนแล้วเสร็จ ผู้มีอํานาจก็อาจมีคําสั่งลงโทษทางวินัยแตกต่างกัน และผู้กระทําความผิดยังอาจต้องพ่วงความผิดทางอาญาไปด้วย
ดังเช่นคดีจากศาลปกครองฉบับนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่พัสดุที่ทุจริตต่อหน้าที่ในการดําเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ และมีข้าราชการถูกลงโทษทางวินัยแตกต่างกัน ทั้งไล่ออกจากราชการ ปลดออกจากราชการ และภาคทัณฑ์ ซึ่งการลงโทษทางวินัยแตกต่างกันดังกล่าวก็อาจนํามาซึ่งความไม่เข้าใจของบรรดาข้าราชการทั้งหลายทั้งที่ถูกลงโทษและมิได้ถูกลงโทษว่า มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องพ่วงความผิดทางอาญาไปด้วย แต่ผลการสอบสวนพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ก็อาจจะเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่า การกระทําน่าจะไม่เป็นความผิดที่จะต้องถูกลงโทษทางวินัย หรือน่าจะต้องรอผลการพิจารณาของพนักงานอัยการก่อนที่จะลงโทษทางวินัย
ในเรื่องนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 874/2556 ซึ่งถือเป็นคดีที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้มีอํานาจจะใช้เป็นแนวทางในการใช้ดุลพินิจเพื่อออกคําสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการได้เป็นอย่างดี
ข้อเท็จจริง คือ ผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งเภสัชกร 8 วช. ประจําสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุ มีหน้าที่ดําเนินการจัดหา จัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยมีมูลกรณีสืบเนื่องจากสํานักงานตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคได้ตรวจสอบการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จากเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากส่วนกลาง พบว่า ในการดําเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่า ทุจริตและไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย กล่าวคือ มีการ เบิกจ่ายเงินให้กับผู้ขายไปก่อน ทั้ง ๆ ที่การจัดส่งเวชภัณฑ์ยังไม่ครบถ้วน คณะกรรมการตรวจรับลงนามตรวจรับโดยที่ไม่ได้มีโอกาสตรวจนับ มีการจัดทําหลักฐานอันเป็นเท็จ มีการจัดซื้อจากผู้ขายรายเดียวกันที่มีราคาสูงกว่า และมีลักษณะเป็นการแบ่งซื้อให้มีวงเงินในใบสั่งซื้อแต่ละฉบับไม่เกินวงเงินสําหรับการจัดซื้อโดยวิธีตกลงราคา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ปลัดกระทรวงสาธารณสุข) จึงมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ฟ้องคดี และบุคคลที่เกี่ยวข้อง และต่อมาได้มีคําสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คําสั่ง แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) และรองนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 (นายกรัฐมนตรี) ยกอุทธรณ์
ผู้ฟ้องคดีจึงนําคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลปกครองมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ โดยอ้างว่า การดําเนินการตามที่ถูกกล่าวหามีผู้เกี่ยวข้องหลายคนและมีหลายขั้นตอน ผู้ฟ้องคดีเป็นเพียงผู้รับคําสั่งให้ปฏิบัติ โดยทํารายการจัดซื้อ รวบรวมเอกสาร ติดต่อประสานงาน และเสนอนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิจารณา แต่ผู้บังคับบัญชาได้รับการลงโทษเพียงปลดออก และข้าราชการอีกสามคนถูกลงโทษเพียงภาคทัณฑ์ อีกทั้งการกระทําไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ทางราชการเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะต่อมาหน่วยงานก็ได้รับสินค้าครบถ้วนตามสัญญาแล้ว
นอกจากนี้ ในทางคดีอาญาพนักงานสอบสวนก็มีความเห็นควร “สั่งไม่ฟ้อง” การวินิจฉัยจึงควรรอผลการพิจารณาของพนักงานอัยการก่อน ข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดีรับฟังได้หรือไม่ ?
ประเด็นแรก คําสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ? หากต่อมา หน่วยงานก็ได้รับสินค้าครบถ้วนตามสัญญาแล้ว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ความมุ่งหมายของการดําเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการก็เพื่อควบคุมความประพฤติให้ข้าราชการดํารงตนให้สมศักดิ์ศรีของตําแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และในการพิจารณาโทษทางวินัย ผู้บังคับบัญชาย่อมต้องพิจารณาไปตามระดับความร้ายแรงของการกระทําหรือพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้กระทําผิดแต่ละคน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา
เมื่อผลการสอบสวนมีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้กระทําผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง โดยผู้ฟ้องคดี ได้ทําหลักฐานอันเป็นเท็จโดยลงลายมือชื่อในใบส่งของว่าเป็นผู้รับทั้งหมดโดยที่ยังไม่มีของให้ตรวจนับ และได้รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินส่งให้งานการเงินเพื่อเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายไปก่อนที่จะได้รับสินค้าครบถ้วน มีการปรับเปลี่ยนราคาสิ่งของโดยได้ออกใบส่งของใหม่ และได้เปลี่ยนราคารายการต่าง ๆ ให้สูงขึ้นเพื่อเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ขาย อันแสดงถึงการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้
นอกจากนี้ ยังได้จัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในลักษณะแบ่งซื้อโดยแยกใบสั่งซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่เป็นชนิดเดียวกันจากผู้ขายรายเดียวกัน หรือผู้ขายที่จดทะเบียนการค้าไว้หลายชื่อแต่เป็นเจ้าของเดียวกัน ให้มีวงเงินในใบสั่งซื้อแต่ละฉบับไม่เกินวงเงินสําหรับการจัดซื้อโดยวิธีตกลงราคา ซึ่งการจัดซื้อดังกล่าวสามารถจัดซื้อโดยวิธี สอบราคาหรือประกวดราคาได้ทันตามกําหนดเวลา อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2535 ทําให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ไม่ว่าต่อมาในภายหลังหน่วยงานจะได้รับสินค้า ครบถ้วนหรือไม่ก็ตาม พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 85 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 104 วรรคหนึ่ง กําหนดให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคําสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมตามความร้ายแรงแห่งกรณีตามมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมาย และคําวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
ส่วนประเด็นที่สอง การออกคําสั่งลงโทษทางวินัยจะต้องรอผลการพิจารณาของพนักงานอัยการ ก่อนหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การดําเนินคดีอาญากับการดําเนินการทางวินัยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งการดําเนินคดีอาญามีวัตถุประสงค์ที่จะควบคุมแก้ไขมิให้บุคคลกระทําการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และกําหนดโทษไว้โดยนําตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษตามกฎหมาย และโทษทางอาญามีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ดังนั้น กระบวนการและขั้นตอนของการสอบสวนเพื่อลงโทษผู้กระทําผิดทางอาญาจึงต้องมีพยานหลักฐานโดยชัดแจ้ง มิเช่นนั้นแล้วต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ผู้ถูกกล่าวหา ส่วนการดําเนินการทางวินัยเป็นมาตรการที่มุ่งจะป้องปรามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด รวมทั้งขนบธรรมเนียมของทางราชการกําหนดไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาระเบียบวินัยของเจ้าหน้าที่ให้เป็นผู้เหมาะสม และสมควรแก่ความไว้วางใจของสาธารณชนที่จะใช้อํานาจรัฐในการจัดทําบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองความต้องการ ของประชาชน เมื่อพยานหลักฐานจากการสอบสวนฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทําผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง ทั้งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้การดําเนินการทางวินัยต้องฟังผลการดําเนินคดีอาญา ดังนั้น การลงโทษทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดี จึงไม่จําต้องรอผลการพิจารณาของพนักงานอัยการแต่อย่างใด
ดังนั้น คดีนี้นอกจากจะเป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดีสําหรับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจใช้ดุลพินิจในการลงโทษข้าราชการที่กระทําผิดวินัยโดยคํานึงถึงระดับความร้ายแรงของการกระทํา หรือพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้กระทําผิดแต่ละคน และโดยไม่จําเป็นต้องรอผลทางคดีอาญาแล้ว ยังเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุครุภัณฑ์ ต่าง ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น ๆ ในหน่วยงานทางปกครองทุกแห่งว่า จะต้องดํารงตนให้สมศักดิ์ศรีของตําแหน่ง หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนที่ทางราชการได้กําหนดไว้อย่างเคร่งครัดและด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่อาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่กระทําการใด ๆ ที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือบุคคลอื่น เพราะการถูกลงโทษทางวินัยเพราะเหตุทุจริตต่อหน้าที่ราชการหรือเหตุอื่นใดและไม่ว่าโทษ ทางวินัยนั้นจะอยู่ในระดับใด นอกจากจะเป็นการทําลายเกียรติศักดิ์ของการเป็นข้าราชการและตําแหน่งหน้าที่การงาน ของตนแล้ว ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการอีกด้วย
เครดิต จารุณี กิจตระกูล , พนักงานคดีปกครองชํานาญการ , สํานักวิจัยและวิชาการ สํานักงานศาลปกครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น