ในการทำสัญญาจ้าง คณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงาน
ถือว่าเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในอันที่จะทำให้สัญญาจ้างบรรลุวัตถุประสงค์อย่าง
มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญา
โดยระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจการจ้างไว้ในข้อ 72
ว่าจะต้องทำการตรวจการปฏิบัติงานของผู้ควบคุมงาน ผู้รับจ้าง
และตรวจการจ้างให้เป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา และข้อ
73
ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้ควบคุมงานที่จะต้องควบคุมการปฏิบัติงานของผู้รับ
จ้างตลอดเวลาอายุสัญญา โดยคณะกรรมการตรวจการจ้างและ
ผู้ควบคุมงานยังมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้
ตามที่เห็นสมควร และหากผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตาม กรรมการตรวจการจ้าง
ผู้ควบคุมงานมีอานาจสั่งให้หยุดกิจการนั้นชั่วคราวได้
ดังนั้น
เมื่อคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานมีอำนาจดังกล่าว
และได้ใช้อำนาจในการสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบของงานตามสัญญาให้แตกต่างไป
จากแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาและเกิดความเสียหายขึ้น
คณะกรรมการตรวจการจ้าง ผู้ควบคุมงานและผู้รับจ้างจะต้องรับผิด
ในความเสียหายหรือไม่ ? เพียงใด ?
ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
กรณีผู้ฟ้องคดี (กรมทางหลวง)
ได้ทาสัญญาจ้างผู้ถูกฟ้องคดี (เอกชน) ให้ซ่อมทางหลวงบริเวณที่ถูกอุทกภัย
โดยผู้ถูกฟ้องคดีได้ใช้เงินสดเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา
ผู้ถูกฟ้องคดีได้ทำงานตามสัญญาและส่งมอบงานเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2546
คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับงานเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2546 ต่อมา
ในระหว่างการรับประกันความชารุดบกพร่องของงานจ้างตามสัญญาพบว่า
ทางหลวงดังกล่าวถูกน้ากัดเซาะฐานรากสะพานชารุดเสียหาย
นายช่างแขวงการทางจึงมีหนังสือ ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2547
แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทำการแก้ไข
เนื่องจากการที่สะพานพังเพราะผู้ถูกฟ้องคดีใช้วัสดุที่ไม่ถูกต้อง
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกเฉย จนกระทั่งสะพานได้พังทลายลงเมื่อวันที่ 9 กันยายน
2547 ผู้ฟ้องคดีจึงทำการแก้ไขซ่อมแซมเองคำนวณค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 1,900,000
บาท
โดยได้ยึดเงินค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาคงเหลือเงินที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้อง
ชดใช้อีกจานวนเงินจึงขาดอยู่ 1,816,436 บาท
จึงขอให้ศาลมีคาพิพากษา้รือคาสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้เงินจานวนดังกล่าว
คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีโต้แย้งว่า
ปฏิบัติงานตามคำสั่งและภายใต้ดุลพินิจของผู้ควบคุมงาน
เนื่องจากมีอุปสรรคในการก่อสร้างบริเวณสะพานโดยน้าป่าไหลลากพัดเอาก้อนหิน
ขนาดใหญ่มาทับถม RC. Box Culvert หรือท่อระบายน้าสี่เหลี่ยม
ทาให้ทุบรื้อออกไม่หมด
และพบหินขนาดกว้างไม่สามารถขุดดินหรือเจาะเพื่อทำฐานรากสะพานได้
จึงได้แจ้งผู้ควบคุมงาน
และได้รับอนุญาตจากผู้ควบคุมงานให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบได้
โดยได้ปรับดินถมทับท่อ RC. Box Culvert และก่อสร้างตอม่อฐานรากแผ่และดาด
ค.ส.ล. บนพื้นดินที่ปรับถม
ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องรับผิดตามสัญญาจ้างดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด ?
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เอกสารแนบท้ายสัญญากำหนดให้ทุบรื้อ RC. Box
Culvert
ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ก่อสร้างอยู่เดิมในบริเวณใต้สะพานที่จะทำการก่อสร้างออก
ก่อนการก่อสร้างตอม่อฐานรากของสะพาน และสร้างสะพานพร้อมทาดาด ค.ส.ล.
ท้องคลองใต้สะพาน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีได้ก่อสร้างสะพานโดยไม่ทุบรื้อท่อ RC.
Box Culvert ออกให้หมด แต่ได้ปรับดินถมทับท่อ RC. Box Culvert
และก่อสร้างตอม่อฐานรากแผ่และดาด ค.ส.ล. บนพื้นดินที่ปรับถม
ซึ่งไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการและข้อกำหนดในสัญญา
แม้การก่อสร้างดังกล่าวจะได้รับอนุญาตจากผู้ควบคุมงานของผู้ฟ้องคดีให้
เปลี่ยนแปลงรูปแบบก่อสร้างสะพานเป็นตอม่อแบบฐานรากแผ่ได้
แต่ก็เป็นการปฏิบัติงานตามคาสั่งของผู้ควบคุมงานที่สั่งการไม่ถูกต้องตามรูป
แบบรายการและข้อกา้นดในสัญญาและไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาการสำหรับงานก่อ
สร้าง ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีตกลงทำสัญญารับจ้างทำงานซ่อมทางที่ถูกอุทกภัย
ย่อมทราบอยู่ก่อนแล้วว่า บริเวณที่ก่อสร้างมีปัญหาอุทกภัยสูง
ต้องก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานแห่งหลักวิชาการ
และตามแบบที่ผู้ฟ้องคดีกำหนดตามสัญญา
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทำการก่อสร้างสะพานไม่ถูกต้องตามรูปแบบรายการและข้อกำหนด
ในสัญญาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแข็งแรงของสะพาน
จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาและต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น
ตามสัญญา
นอกจากนี้
แม้ผู้ควบคุมงานจะมีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงงานตามสัญญา
แต่การควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าวต้องให้ผู้รับจ้างปฏิบัติตามรายละเอียดของ
สัญญาด้วย เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีไม่ทุบรื้อท่อ RC. Box Culvert
ออกให้หมดและก่อสร้างฐานรากแผ่ของสะพานไม่ถูกต้องตามรูปแบบรายการและข้อ
กา้นดในสัญญา
โดยคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานของผู้ฟ้องคดีได้รับรองว่าได้ทุบ
รื้อท่อ RC. Box Culvert หมดแล้ว
และสั่งให้เปลี่ยนแปลงจากแบบก่อสร้างแบบฐานเสาตอกมาเป็นแบบฐานรากแผ่
จึงเป็นการตรวจการจ้างและควบคุมงานก่อสร้างไม่เป็นไปตามแบบรูปรายละเอียด
จึงเป็นกรณีที่ความชารุดบกพร่องหรือความเสียหายเกิดขึ้นจากกรรมการตรวจการ
จ้างและผู้ควบคุมงานสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงงานตามสัญญา จึงถือว่า
มีส่วนทำให้เกิดความเสียหายด้วย
ผู้ฟ้องคดีในฐานะผู้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงาน
จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
แต่ความเสียหายเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดี
ซึ่งเป็นผู้มีอาชีพในการก่อสร้างไม่ปฏิบัติตามรายละเอียดงานจ้างเหมาทำการ
ซ่อมทางที่ถูกอุทกภัยและรายการละเอียดต่อท้ายสัญญา
ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการพังของสะพาน
ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดในความเสียหายส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น
คดีนี้ผู้รับจ้าง (ผู้ถูกฟ้องคดี)
กรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานโดยผู้ฟ้องคดีจะต้องรับผิดเพียงใด ?
ผู้สนใจสามารถศึกษาได้จากคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 351/2556
และคดีนี้เป็นบรรทัดฐานการปฏิบัติราชการที่ดีสำหรับหน่วยงานของรัฐและเจ้า
หน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการใช้อานาจของคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงาน
ว่า แม้ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
จะให้อำนาจในการสั่งเปลี่ยนแปลง
เพิ่มเติมหรือตัดทอนงานจ้างได้ตามที่เห็นสมควร
ก็มิได้หมายความว่าจะใช้ดุลพินิจได้ตามอำเภอใจ
เพราะการใช้อานาจดังกล่าวยังต้องอยู่ภายใต้รูปแบบและรายละเอียดของสัญญา
ดังนั้น
ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานจึงควรที่จะ
ศึกษารูปแบบและรายละเอียดของสัญญาให้เข้าใจชัดเจน นอกจากนี้
ในส่วนผู้มีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจการจ้างและผู้ควบคุมงานจะต้องแต่ง
ตั้งผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ
เพื่อให้คณะกรรมการตรวจการจ้าง้รือผู้ควบคุมงานใช้อานาจหน้าที่ของตนด้วย
ความระมัดระวังภายใต้ความรู้ความเชี่ยวชาญของตน
เครดิต : นางวชิราภรณ์ อนุกูล พนักงานคดีปกครองปฏิบัติการ ,
กลุ่มเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการและวารสาร , สานักวิจัยและวิชาการ
สานักงานศาลปกครอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น